[iOS Tips] รวมทิปการใช้ iPhone แบบง่าย ๆ ที่ผู้ใช้อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน มีอะไรบ้าง มาดูกัน

[iOS Tips] รวมทิปการใช้ iPhone แบบง่าย ๆ ที่ผู้ใช้อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน มีอะไรบ้าง มาดูกัน

10:53 Add Comment

[iOS Tips] รวมทิปการใช้ iPhone แบบง่าย ๆ ที่ผู้ใช้อาจจะไม่เคยรู้มาก่อน มีอะไรบ้าง มาดูกัน

Techmoblog

สนับสนุนเนื้อหา

สำหรับ iOS Tips ที่ทีมงาน techmoblog รวบรวมมาให้ในวันนี้ เป็นทิปง่าย ๆ ที่ผู้ใช้หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า iPhone ก็สามารถทำได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้การใช้งานสะดวกมากขึ้นแล้ว ยังเป็นวิธีที่ใช้เวลาสั้นลงอีกด้วย โดยเทคนิคที่นำมาเสนอในวันนี้ รองรับบน iPhone และ iPad ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 11 ขึ้นไปเท่านั้น มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. วิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดบนเว็บเพจ

1

สำหรับ Safari บน iOS มีวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดหรือคำที่ต้องการบนเว็บเพจได้ 2 วิธีด้วยกัน โดยวิธีแรกก็คือ ให้คลิกที่ปุ่ม Share แล้วเลือก Find on Page จากนั้นให้พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา

ส่วนวิธีที่สอง ให้พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาบน address bar แล้วเลือกในส่วนของ On This Page โดยวิธีที่สองนี้จะเร็วกว่าและสะดวกกว่าวิธีแรก

2. สำหรับเครื่องคิดเลข ปัดจากซ้ายไปขวาเพื่อลบตัวเลขที่กดผิด

2

มีผู้ใช้ iPhone หลายท่านที่ยังไม่สามารถวิธีลบตัวเองที่กดผิดบนเครื่องคิดเลข ส่วนใหญ่มักจะกดปุ่ม C เพื่อเริ่มคำนวณใหม่ แต่จริง ๆ แล้วหลักการลบตัวเลขที่กดผิดนั้น แค่ให้ปัดจากซ้ายไปขวาตามจำนวนตัวเลขที่กดผิดเท่านั้น

3. อยู่ในหน้า Control Center ก็ใช้งานฟังก์ชัน 3D Touch ได้

3

บน iOS 11 Control Center ได้รับการออกแบบใหม่ที่นอกจากรองรับแอปฯ แบบ Shortcut ได้มากขึ้นแล้ว ยังสามารถใช้งานฟังก์ชัน 3D Touch ได้จากส่วนของ Control Center โดยตรงอีกด้วย (เฉพาะ iPhone รุ่นที่รองรับ 3D Touch เท่านั้น) ซึ่งวิธีการใช้งานก็เหมือนกับการใช้กับแอปฯ ทั่วไป ด้วยการกดค้างที่แอปฯ นั้น ๆ ก็จะปรากฏเมนูการทำงานขึ้น ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกและรวดเร็วกว่าเดิม

4. เปลี่ยนแป้นพิมพ์จากตัวเลขเป็นตัวอักษรได้เร็วขึ้น แค่กดค้างแล้วลาก

4

สำหรับการพิมพ์ข้อความต่าง ๆ ปกติแล้วการเปลี่ยนจากแป้นตัวอักษรเป็นตัวเลขนั้น ก็เพียงแค่กดแป้นเปลี่ยนตัวเลข (123) แล้วพิมพ์ตัวเลขที่ต้องการ แต่มีเทคนิคการพิมพ์ที่รวดเร็วกว่านั้น ด้วยการกดค้างที่แป้นเปลี่ยนตัวเลข แล้วลากนิ้วไปยังตัวเลขที่ต้องการพิมพ์ เมื่อปล่อยมือก็จะกลับสู่แป้นตัวอักษรปกติ โดยไม่ต้องกดสลับแป้นไปมา

5. ล้างการแจ้งเตือนทั้งหมดในครั้งเดียว

5

ในกรณีที่ผู้ใช้ iPhone มีการแจ้งเตือนเข้ามาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน การมานั่งลบทีอันคงจะเสียเวลาพอสมควร แต่เราสามารถลบการแจ้งเตือนทั้งหมดได้ในครั้งเดียว ด้วยการกดค้างแบบลงน้ำหนักที่ปุ่มกากบาท จนปรากฏคำว่า Clear All Notification เพียงเท่านี้ก็สามารถลบการแจ้งเตือนทั้งหมดได้แล้ว แต่อย่าลืมว่า จะสามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อ iPhone รุ่นนั้นต้องรองรับฟีเจอร์ 3D Touch ด้วย

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :www.techmoblog.com

11 เทคนิคการใช้งานที่ซ่อนอยู่ใน Windows10 รู้หรือยังว่าทำยังไง?

11 เทคนิคการใช้งานที่ซ่อนอยู่ใน Windows10 รู้หรือยังว่าทำยังไง?

10:45 Add Comment

Win10_SysReq

Microsoft Windows จัดว่าเป็นซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการพื้นฐาน (Operation System – OS) ที่คอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมี โดยปัจจุบัน Windows10 จัดเป็นซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นล่าสุด และเชื่อว่าหลายองค์กร แม้แต่คอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือคอมพิวเตอร์พกพาก็นิยมใช้เวอร์ชั่นนี้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบที่ยังคงเอกลักษณ์ของ Windows ในยุคที่ผ่านๆ มาโดยยังคงความทันสมัย

แน่นอนว่าเราไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องของระบบปฏิบัติการ เพราะโปรแกรมที่เราทำงานหลักๆ ไม่ใช่ Windows แม้ว่าโปรแกรมเหล่านั้นจะทำงานบนระบบปฏิบัติการก็ตาม อย่างไรก็ดีการทำความรู้จักกับระบบปฏิบัติการก็จะช่วยให้การทำงานสามารถทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญระบบปฏิบัติการยังมีลูกเล่นแพรวพราวอีกมากที่ถูกซ่อนเอาไว้ วันนี้เรามาไขความลับ 11 เทคนิคที่ Windows10 ซ่อนมันไว้อยู่ข้างใน

1. ทางลัดของสู่ระบบ Windows

แน่นอนว่าใน Windows10 จะมีรูปแบบคล้ายกับ Windows8 แต่สำหรับคนที่นิยมใช้ WindowsXP หรือ Windows7 คงจะงงกับรูปแบบของปุ่มวินโดวส์ที่อยู่ด้านล่างซ้ายมือ แม้ว่าปุ่มดังกล่าวจะถูกใส่มาเพื่อให้คนที่โหยหาปุ่ม Start ในวินโดวส์เวอร์ชั่นเก่ารู้สึกคุ้นเคย แต่ในความเป็นจริงมันแทบจะไม่เหมือนเดิมเลย และเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ทำให้คนที่เคยใช้งานวินโดววส์ในรุ่นเก่าๆ คงรำคาญไม่ใช่น้อย

แต่หากคลิกขวาที่ปุ่มวินโดวส์แล้ว จะพบว่าฟังก์ชั่นต่างๆ ของวินโดวส์จะออกมาให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำสั่ง Control Panel ที่ไม่ปรากฎแม้กดปุ่มวินโดวส์ หรือการเข้าถึงระบบภายในอย่าง Device Manager ก็เข้าถึงได้ง่ายด้วยวิธีนี้ เรียกว่าเป็นหนึ่งเทคนิคที่ช่วยให้ทำงานได้ไวมากขึ้น

Screenshot (1)

2. เปิด Desktop ทันทีที่มุมขวาล่าง

บางครั้งก็ต้องมีบ้างที่อยากมีเวลาส่วนตัวในเพจเฟสบุคแต่เจ้านายก็เดินมาถี่เหลือเกิน หรือบางครั้งที่เซฟงานลูกค้าวางไว้บนเดสก์ท้อปแล้วเปิดหน้าต่างไว้หลายหน้า จะปิดแต่ละหน้าก็เยอะเหลือเกิน แน่นอนว่านี่คือหนึ่งในหลายปัญหาของคนทำงาน ยิ่งถ้าเปิดโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมขึ้นมากว่าจะถึงหน้าเดสก์ท้อปก็คงใช้เวลาพอสมควร แต่ Windows มีเทคนิคการเปิดหน้าเดสก์ท้อปง่ายๆ เพียงคลิกเดียว ที่สำคัญตั้งแต่ WindowsXP จนถึง Windows10 สามารถใช้เทคนิคนี้ได้หมด

ด้วยกดที่แถบด้านขวาล่างครั้งเดียวก็จะหลบทุกหน้าต่างลงเพื่อเข้าถึงหน้าจอ Desktop โดยสังเกตว่ามุมล่างด้านขวาใกล้ๆ นาฬิกาจะมีเส้นขีดตรงบางๆ อยู่นั้นคือปุ่มเพื่อเข้าสู่เดสก์ท้อป หรือหากคิดว่าตาไม่ดีกลัวกดพลาดก็สามารถคลิกขวาที่มุมล่างขวาสุดได้เช่นกันแล้วเลือก Show Desktop หากต้องการกลับมาที่หน้าต่างเดิมที่ทำงานค้างไว้ก็เพียงคลิกที่เดิมหรือคลิกขวาที่มุมความล่างแล้วเลือก Show Desktop อีกครั้งหนึ่ง

Screenshot (2)

3. หมุนหน้าจอด้วยคีย์บอร์ดแบบง่ายๆ

สำหรับเทคนิคนี้เรียกว่าเป็นเทคนิคที่ไม่ค่อยมีคนใช้เนื่องจากเป็นเทคนิคที่บังคับให้ต้องใช้กับ 2 จอขึ้นไป (Multi Display) โดยเป็นเทคนิคในการหมุนจอภาพทั้งในมุม 90 องศาและมุม 180 องศา ด้วยการกดปุ่ม Ctrl ปุ่ม Alt และปุ่ม D พร้อมกันจากนั้นกดปุ่มลูกศรเพื่อหมุนหน้าจอ หรือสามารถใช้คลิกขวาที่หน้าจอแล้วเลือก Graphics Options ตามด้วยเลือกคำสั่ง Rotation ก็จะมีให้เลือกมุมมองที่จะเปลี่ยนไป

Screenshot (3)

4. Shutdown เครื่องแบบเท่ๆ

ปกติเวลาปิดคอมหลังเลิกใช้งานก็มักจะกดปุ่มวินโดวส์แล้วเลือก Power ก่อนจะเลือก Shut down นั่นคือเรื่องปกติของแทบทุกเครื่องที่ใช้ Windows10 แต่จะบอกความลับให้ว่า Windows10 เท่านั้นที่มีเทคนิคในการ Shut down ไม่ซ้ำแบบใคร แค่ว่าขั้นตอนการใช้เทคนิคนี้ค่อนข้างยุ่งยากเล็กน้อย แต่ถ้าทำได้ก็สามารถปิดเครื่องคอมได้ง่ายๆ เพียงแค่สไลด์เท่านั้น

เทคนิคเริ่มด้วยการคลิดขวาที่หน้าจอเดสก์ท้อป แล้วเลือก New แล้วเลือก Shortcut จากนั้นเลือก Browse เข้าไปในไดร์ฟ C จากนั้นเลือกโฟลเดอร์ Windows เมื่อเข้ามาแล้วให้หาโฟลเดอร์ System32 จากนั้นหาไฟล์ที่ชื่อ SlideToShutDown.exe เท่านี้ก็สามารถปิดเครื่องด้วยการสไลด์ได้แล้ว

Screenshot (4)

5. คลิกเดียวควบคุมระบบเครื่องได้ดั่งพระเจ้า

บางครั้งที่อยากจะเข้าไปจัดการระบบต่างๆ ในเครื่อง เช่นเรื่องของเมาส์หรือหน้าจอ หลายคนยังสับสนและงงๆ กับวิธีการเข้าไปเซ้ตระบบตั้งค่าต่างๆ แต่ด้วยเทคนิคนี้จะช่วยให้สามารถเข้าถึงระบบภายในทุกระบบด้วยคลิกเดียวเท่านั้น แถมเทคนิคนี้เขาเรียกชื่อเท่ๆ ว่า “God Mode” เทคนิคนี้ทำง่ายๆ ด้วยการสร้างโฟลเดอร์ใหม่ขึ้นมาจากนั้นเปลี่ยนชื่อดฟล์เดอร์ โดยใส่คำนี้ลงไปในชื่อโฟลเดอร์ “GodMode.{ED7BA470-8E54-465E-825C-99712043E01C}” จากนั้นโฟลเดอร์จะเปลี่ยนเป็นไอคอน God Mode เมื่อคลิกเข้าไปก็จะสามารถเข้าทุกทุกระบต่างๆ ในเครื่องได้ทันที

Screenshot (5)

6. ปรับ Shortcut บน Start Menu ได้ง่ายๆ

จุดนึ่งที่ทำให้ Windows10 แตกต่างจาก WindowsXP และ Windows7 คือ Shortcut ที่สตาร์ทเมนูแต่ส่วนใหญ่ Shortcut เหล่านั้นมักจะถูกจัดแต่งมาให้เรียบร้อยแต่มันก็ใช่ว่าจะสวยหรือถูกใจผู้ใช้ทุกคน หลายคนอยากปรับแต่งแต่ก็ไม่กล้ากลัวเดี๋ยวพลาดท่าจะพาลงงกันพอดี ซึ่งจริงๆ แล้ว Shortcut เหล่านี้ปรับแต่งได้ง่ายๆ สามารถคลิกค้างแล้วลากไปไหนมาไหนก็ได้ หรือหากต้องการให้ Shortcut ที่ใช้ประจำใหญ่ๆ ก็สามารถคลิกขวาที่ Shortcut นั้นสามารถปรับขนาดหรือเอาออกไปจากสตาร์ทเมนูก็ยังได้

Screenshot (6)

7. ควบคุม Taskbar ง่ายๆ ด้วยคลิกเดียว

Taskbar หรือแถบการทำงานที่อยู่ด้านล่างสุดก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของ Windows ที่มีความสำคัญ เนื่องจาก Taskbar ถือเป็นหนึ่งเอกลักษณ์ของ Windows ที่มีมาทุกยุคทุกสมัยและเทคนิคการคลิกขวาที่ Taskbar เพื่อตั้งค่าต่างๆ ของ Taskbar ก็ถือเป็นเทคนิคเบสิคที่มีใน Windows ทุกเวอร์ชั่น หากแต่ Windows10 มีในส่วนของ Cortana ที่สามารถตั้งค่าผ่านเทคนิคนี้ได้เช่นกัน

Screenshot (7)

8. เขย่าเพื่อหลบหน้าต่างอื่นๆ ที่ยังไม่ใช้งาน

เชื่อว่าหลายคนนิยมเปิดโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมขึ้นมาใช้งานพร้อมๆ กัน ซึ่งนั่นทำให้หน้าต่างการทำงานหลายๆ โปรแกรมลอยอยู่เต็มหน้าจอไปหมด เทคนิคนี้เหมาะกับคนที่นิยมความเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่สำคัญเทคนิคเริ่มใช้งานได้ใน Windows7 แต่ก็เชื่อว่ามีหลายคนยังไม่ทราบหรือรู้จักเทคนิคนี้ ซึ่งเทคนิคนี้เพียงแค่ใช้เมาส์คลิกค้างที่หน้าต่างที่เราต้องการใช้งาน แล้วเขย่ามันซะ!!! หน้าต่างอื่นๆ จะกระเด็นไปหลบอยู่ในแถม Taskbar และเมื่อคลิกค้างที่หน้าต่างเดิมและเขย่าอีกครั้ง หน้าต่างเหล่านั้นก็จะกระเด็นกลับขึ้นมารกๆ เหมือนเดิม

Screenshot (8)

9. เปิดโหมด Multi-Tasking ด้วยการลาก

อย่างที่กล่าวไว้ในเทคนิคก่อนหน้านี้ว่า หลายคนนิยมเปิดโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมขึ้นมาใช้งานพร้อมๆ กัน แน่นอนว่าบางครั้งต้องใช้งาน 2 หน้าต่างพร้อมกัน ซึ่งก็นิยมที่จะใช้วิธีหน้าต่างซ้อนหน้าต่าง ต้องการใช้งานหน้าตางนี้ก็จับมาทำงานด้านหน้าสลับไปมา บางครั้งก็เล่นเอาคนทำงานงงกันไปได้ แต่มันมีเทคนิคที่จะช่วยให้ทำงานบน 2 หน้าต่างพร้อมๆ กันด้วยเทคนิคง่าย เพียงแค่คลิกค้างที่หน้าต่างแล้วลากไปสุดขอบด้านข้าง Windows จะปรับหน้าต่างนั้นให้พอดีกับ 50% ของหน้าจอ โดยอีก 50% ของจอสามารถเลือกได้ว่าต้องการทำงานร่วมกับหน้าต่างใด คราวนี้ก็ไม่ต้องสลับหน้าต่างขึ้นมากันแล้ว

Screenshot (9)

10. AI บน Windows10 อยู่ที่ Cortana

อันที่จริงแล้ว Windows10 อาจเรียกได้ว่ามีระบบ AI เล็กๆ อยู่ในระบบด้วย แต่จะเรียกว่า AI เต็มๆ ก็อาจไม่ถูกต้องทีเดียว เพราะความเป็นจริงแล้วความฉลาดของ Windows10 อยู่ที่ Cortana ซึ่งจำเป็นต้อง Sign In ก่อนการใช้งาน โดย Cortana สามารถตอบสนองต่อการค้นหาได้ใกล้เคียงกับ AI ซึ่งสามารถรับฟังคำสั่งได้จากคำพูดและถ้าอยากเล่นกับ Cortana ลองพิมพ์ Roll the Die หรือ Flip the Coin ลงไปที่ช่อง Cortana ซึ่งผลที่ได้แต่ละครั้งจะแตกต่างกันไป

Screenshot (10)

11. ทำงานในหลาย Desktop ด้วย Virtualize

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ในเทคนิคก่อนๆ มีการพูดถึงว่า หลายคนนิยมเปิดโปรแกรมหลายๆ โปรแกรมขึ้นมาใช้งานพร้อมๆ กัน ในกรณีที่ต้องใช้หลายโปรแกรมและไม่ต้องการให้แต่ละโปรแกรมถูกหลบซ่อนอยู่ใน Taskbar แต่ก็ไม่อยากให้ทำงานแบบแบ่งหน้าจอ (Multi-Tasking) อย่างนั้น Windows10 ก็ให้สมดังปรารถนาด้วยเทคนิคการสร้างเดสก์ท้อปจำลอง (Virtual Desktop) ซึ่งสามารถสร้างได้ง่ายๆ ด้วยการคลิกไอคอนที่อยู่ด้านข้าง Cortana (หากไม่มีให้คลิกขวาที่ Taskbar แล้วติ๊กเครื่องหมายถูกที่ Show Task View Button)

จากนั้นที่มุมล่างด้านขวาให้เลือก New Desktop ก็จะได้หน้าเดสก์ท้อปขึ้นมาอีก 1 หน้า สามารถเลือกโปรแกรมที่ต้องทำงานขึ้นมาได้อีกต่างหาก และสามารถเพิ่มหน้าเดสก์ท้อปจำลองได้มากเท่าที่ต้องการ ที่สำคัญสามารถสลับแต่ละหน้าเดสก์ท้อปด้วยการกดปุ่ม Windows และปุ่ม Ctrl ค้างพร้อมกัน และกดปุ่มลูกศรซ้ายหรือขวาเพื่อเลือกหน้าเดสก์ท้อปที่ต้องการ

Screenshot (13)


ที่มา : marketingoops

Facebook เริ่มทดสอบฟีเจอร์ Dark Mode แล้ว ลุ้นได้ใช้งานภายในปลายปีนี้

Facebook เริ่มทดสอบฟีเจอร์ Dark Mode แล้ว ลุ้นได้ใช้งานภายในปลายปีนี้

13:25 Add Comment

หลังจากที่ทาง Facebook ได้ปล่อยอัปเดตฟีเจอร์ Dark Mode สำหรับผู้ใช้ Facebook Messenger ไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุด ดูเหมือนว่า แอปฯ หลักอย่าง Facebook ก็เตรียมได้ใช้งานฟีเจอร์ Dark Mode กันในเร็ว ๆ นี้แล้ว เมื่อมีคนพบโค้ด Dark Mode ซ่อนอยู่ในแอปฯ Facebook และคาดว่ากำลังอยู่ในช่วงทดสอบ

Facebook is working on Dark Mode for mobile
I wrote a blog about this: https://t.co/X5tAZuIlPz
Tip @Techmeme pic.twitter.com/w3vYpRgxUY

— Jane Manchun Wong (@wongmjane) August 12, 2019

โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในงาน F8 2019 ทาง Facebook ได้ปล่อยอินเทอร์เฟสใหม่ของ Facebook ออกมาให้ชมกันบ้างแล้ว แต่ล่าสุด บนทวิตเตอร์ของ Jane Manchun Wong ได้เผยว่า Facebook กำลังพัฒนาฟีเจอร์ Dark Mode หลังจากที่เจ้าตัวได้พบว่า ในแอปฯ Facebook นั้น มีโค้ดของ Dark Mode ซ่อนอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงทดสอบ และอาจปล่อยให้ใช้งานกันในเร็ว ๆ นี้

เบื้องต้น Facebook Dark Mode ถูกพัฒนาไปแค่บางส่วนเท่านั้น ยังไม่สามารถใช้งานได้ครอบคลุมทั้งแอปฯ ซึ่งส่วนที่สามารถทดสอบใช้งานได้ในตอนนี้ก็คือ Groups โดย Jane Manchun Wong ได้พบโค้ดดังกล่าวบน Facebook สำหรับ Android ส่วนบน iOS คาดว่าน่าจะมีให้ทดสอบกันในเร็ว ๆ นี้

อย่างไรก็ดี ทาง Facebook ยังไม่ได้เผยรายละเอียดว่า จะเปิดตัว Facebook Dark Mode เมื่อใด คงต้องลุ้นกันต่อไปว่า จะได้ใช้งานกันภายในปลายปีนี้หรือไม่

-------------------------------------
ที่มา : techmoblog

Technorati Tags:
Tags:
รวม 20 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน iOS 13 ที่ Apple ไม่ได้กล่าวถึงในงาน WWDC 2019

รวม 20 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน iOS 13 ที่ Apple ไม่ได้กล่าวถึงในงาน WWDC 2019

13:04 Add Comment

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iOS 13 ระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ในงาน WWDC 2019 เมื่อช่วงค่ำคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานนั้น ได้มีการแนะนำคุณสมบัติของ iOS 13 หลายอย่างด้วยกัน ทั้ง Dark Mode, Sign In with Apple วิธีการใหม่ในการลงชื่อเข้าใช้งาน, Apple Maps ออกแบบใหม่ ละเอียดขึ้นกว่าเดิม, แอปฯ Photos ใหม่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งอันที่จริงแล้ว iOS 13 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจมากมายที่ Apple ไม่ได้กล่าวไว้ในงานเปิดตัว

มาดูกันดีกว่าว่า 20 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจบน iOS 13 ที่ Apple ไม่ได้กล่าวถึงในงาน WWDC 2019 มีอะไรกันบ้าง

1. เลือกเครือข่าย Wi-Fi ที่ต้องการเชื่อมต่อหรือเลือกสลับอุปกรณ์ Bluetooth ได้แล้วจาก Control Center

ปกติแล้วในส่วนของ Control Center ผู้ใช้สามารถเลือกเพื่อเปิดหรือปิด Wi-Fi ได้เท่านั้น แต่บน iOS 13 การกดค้างที่ไอคอน Wi-Fi ผู้ใช้สามารถเลือกเครือข่ายที่ต้องการเชื่อมต่อได้แล้ว โดยไม่ต้องเข้าไปเลือกในหน้า Settings อีกต่อไป

เช่นเดียวกับการเชื่อมต่อ Bluetooth การแตะค้างที่ไอคอน สามารถเลือกสลับอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ Bluetooth ได้เช่นกัน ซึ่งรายชื่อที่ปรากฏนั้น เป็นรายชื่ออุปกรณ์ที่เคยเชื่อมต่อ Bluetooth กับ iPhone ที่ใช้อยู่มาก่อนแล้ว

2. Location Services เพิ่มตัวเลือกใหม่

ปกติแล้ว ฟีเจอร์ Location Services จะสามารถเลือกได้ 2 อย่าง นั่นก็คือ Never กับ While Using the App แต่บน iOS 13 ได้เพิ่มตัวเลือก Ask Next Time เข้ามา โดยจะขึ้นหน้าต่างสอบถามผู้ใช้ทุกครั้งเมื่อใช้แอปฯ นั้น ๆ ว่า อนุญาตให้เปิดใช้งาน Location Services หรือไม่

3. บล็อกอีเมลจากผู้ส่งที่ไม่ต้องการได้แล้ว

นอกจาก iOS 13 จะสามารถบล็อกหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลที่ไม่ต้องการติดต่อได้แล้ว ยังสามารถบล็อกอีเมลที่ไม่ต้องการได้ด้วยเช่นกัน โดยจะไม่ได้รับอีเมลใด ๆ จากผู้ส่งรายนั้นอีกหลังจากบล็อกแล้ว

4. เพิ่มฟังก์ชันปิดเสียงแจ้งเตือนเมื่อมีอีเมลเข้า

เมื่อปัดข้อความขึ้นในแอปฯ Mail จะพบกันตัวเลือกใหม่ นั่นก็คือ Mute สำหรับปิดเสียงแจ้งเตือนเมื่อมีอีเมลใหม่เข้ามา

5. Reading Goals ฟีเจอร์ใหม่บนแอปฯ Books

บนแอปฯ Books ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า Reading Goals สำหรับติดตามระยะเวลาในการอ่านหนังสือในแต่ละวันตามที่ผู้ใช้ได้ตั้งเป้าเอาไว้

6. ปิดเสียงเรียกเข้าจากเบอร์แปลก ๆ

นอกเหนือจากฟีเจอร์บล็อกเบอร์โทรศัพท์แล้ว บน iOS 13 ยังสามารถตั้งค่าเพื่อปิดเสียงเรียกเข้าจากหมายเลขโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยได้ ซึ่งเป็นวิธีการคัดกรองเบอร์ขายประกัน ขายบัตรเครดิตได้ในระดับหนึ่ง

7. Low Data Mode โหมดประหยัดเน็ต

ในหน้าการตั้งค่า Cellular ได้เพิ่มโหมด Low Data Mode ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้ Data Internet ให้น้อยลง เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มี Data Internet จำกัด หรือไม่ได้ใช้แพ็กเกจเน็ตแบบ Unlimited

8. แอปฯ Messages ปรับปรุงใหม่

ด้านแอปฯ Messages นั้น ได้ปรับปรุงอินเทอร์เฟสด้านการค้นหาใหม่ โดยเมื่อลากลงเพื่อทำการค้นหา จะพบกับอินเทอร์เฟสแบบใหม่ที่มีทั้งรายชื่อผู้ติดต่อที่แนะนำ รวมถึงลิงค์ต่าง ๆ

9. เครื่องมือใหม่ในแอปฯ Notes

สำหรับแอปฯ Notes ได้มีการเพิ่มเครื่องมือใหม่สำหรับจัดการโฟลเดอร์ต่าง ๆ โดยเมื่อแตะที่ ... จะมีออปชันให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น Add People, Move This Folder, Rename และ View Attachments

10. สนับสนุนจอยคอนโทรลเลอร์ของ PlayStation 4 และ Xbox One S

คงจะเป็นฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ต่างเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน เพราะบน iOS 13 สนับสนุนการเชื่อมต่อกับจอยคอนโทรลเลอร์ของ PlayStation 4 และ Xbox One S แล้ว ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้จอยเล่นเกมบน iPhone ได้ เช่นเดียวกับ iPadOS ที่รองรับฟีเจอร์ดังกล่าวเช่นกัน

11. Animoji ใหม่ 3 แบบ

บน iOS 13 มาพร้อมกับ Animoji ใหม่ทั้งหมด 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ หนู, ปลาหมึก และวัว นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Animoji Stickers ที่สามารถสร้างสติกเกอร์คาแรกเตอร์ของตัวเอง แล้วนำไปใช้กับแอปฯ ต่าง ๆ ได้อีกด้วย

12. แยกปุ่ม Emoji กับ Globe ออกจากกันแล้ว

ปกติแล้ว ปุ่มสำหรับกดใช้งาน Emoji คือปุ่มลูกโลก ซึ่งจะต้องกดเลือกเพื่อใช้งาน แต่บน iOS 13 ได้แยก Emoji ออกจากปุ่มลูกโลกแล้ว และอยู่เหนือปุ่มตัวเลขแทน

13. ฟีเจอร์ปิดแท็บ Safari อัตโนมัติ

สำหรับเบราว์เซอร์อย่าง Safari นั้น ได้มีการเพิ่มออปชันใหม่ในการปิดแท็บ ซึ่งสามารถเลือกให้ปิดแบบอัตโนมัติได้หลังจากใช้งานไปแล้ว 1 วัน, 1 สัปดาห์ และ 1 เดือน หรือจะเลือกปิดแบบแมนนวล

14. แนบไฟล์ลงแอปฯ Calendar ได้แล้ว

ในแอปฯ Calendar ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ที่ผู้ใช้สามารถแนบไฟล์สำหรับการนัดหมายล่วงหน้าได้แล้ว เพื่อเป็นการเตือนความจำว่า ในวันนั้นมีรายละเอียดการนัดหมายอะไรบ้าง

15. แท็บ App Updates ถูกถอดออก แล้วแทนที่ด้วย Arcade

ปกติแล้ว การอัปเดตแอปพลิเคชัน สามารถเข้าไปได้แอปฯ App Store แล้วเลือกที่แท็บ Updates เพื่อทำการอัปเดตแอปฯ ได้เลย แต่บน iOS 13 ได้ถอดเมนูนี้ออกไป แล้วแทนที่ด้วย Arcade แทน ซึ่งผู้ใช้สามารถอัปเดตแอปฯ ได้ ด้วยการคลิกที่รูปโปรไฟล์ โดยจะอยู่ในส่วนของ Pending Updates

16. เมนู Screenshot ใน Safari เพิ่มออปชันใหม่

การจับภาพหน้าจอ (Screenshot) บน Safari นั้น ได้เพิ่มตัวเลือกใหม่เข้ามา ที่ผู้ใช้สามารถเลือกบันทึกได้ทั้งหน้า และ export ออกมาในรูปแบบของไฟล์แบบ PDF ซึ่งสามารถเลือก Mark Up เพื่อทำการแก้ไขก่อนส่งได้

17. อินเทอร์เฟสใหม่บนปุ่มปิดเสียง

สำหรับหน้าจอของปุ่มปิดเสียง ได้รับการออกแบบอินเทอร์เฟสใหม่ ที่มาพร้อมกับดีไซน์แนวนอน และย้ายตำแหน่งมาอยู่ด้านบน พร้อมกับข้อความว่า On/Off เพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่า เปิดหรือปิดเสียงอยู่

18. ฟีเจอร์ Optimized Battery Charging ถนอมแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง

Optimized Battery Charging เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยถนอมอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้ยาวนานยิ่งขึ้น ซึ่งฟีเจอร์นี้จะเรียนรู้การชาร์จในแต่ละวันของผู้ใช้ ยกตัวอย่างเช่น ชาร์จ iPhone ก่อนนอน โดยจะทำการชาร์จ iPhone จนถึงระดับ 80% แล้วรอ ก่อนจะชาร์จจนเต็ม 100% เมื่อใกล้จะถึงเวลาที่ผู้ใช้ตื่นและหยิบ iPhone ไปใช้งาน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลงนั่นเอง

19. แอปฯ Home ปรับปรุงใหม่

สำหรับแอปฯ Home ได้รับการออกแบบอินเทอร์เฟสใหม่ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นและคล่องตัวขึ้น โดยในหน้าการควบคุมนั้น เป็นมุมมองแบบ Card-Style ทำให้สามารถปิดและกลับไปหน้าหลักได้ง่ายขึ้น

20. ตั้งค่า AirPlay 2 ใน Homekit Automations

บน iOS 13 ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้อุปกรณ์ AirPlay 2 ทำงานอัตโนมัติใน HomeKit Automations ได้ ยกตัวอย่างเช่น ตั้งค่าให้เปิดเพลงเมื่อกลับถึงบ้าน เป็นต้น

สำหรับฟีเจอร์ข้างต้น ถือว่าเป็นรายละเอียดบางส่วนบน iOS 13 ซึ่งน่าจะมีอีกหลายฟีเจอร์ซ่อนอยู่ และบางฟีเจอร์นั้น รองรับการทำงานบน iPad อีกด้วย โดย iOS 13 เวอร์ชันสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป จะเปิดให้ดาวน์โหลดกันภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

-------------------------------------
,techmoblogที่มา : macrumors.com

Apple ประกาศเพิ่มรางวัล ใครเจอช่องโหว่บน iPhone รับไปเลย 1,000,000 เหรียญฯ

Apple ประกาศเพิ่มรางวัล ใครเจอช่องโหว่บน iPhone รับไปเลย 1,000,000 เหรียญฯ

11:19 Add Comment

ดูเหมือนทาง Apple จะมีความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของ iOS พอควร ล่าสุดได้ประกาศเพิ่มเงินรางวัล โดยพุ่งสูงถึง 1,000,000 เหรียญฯ หรือประมาณ 30 ล้านบาท !! สำหรับใครเจอช่องโหว่บน iPhone นับเป็นเงินรางวัลที่สูงที่สุดเท่าที่ Apple หรือบริษัทไอทีอื่น ๆ เคยท้ามา

ก่อนหน้านี้ทาง Apple เคยจัดโครงการ Bug Bounty ค้นหาช่องโหว่บนอุปกรณ์ โดยครั้งนั้นได้ตั้งเงินรางวัลที่ 200,000 เหรียญฯ หรือประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งก็ถือว่าสูงมากแล้วในตอนนั้น

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ทาง Forbes ได้เผยว่า Apple ประกาศเปิดตัวโครงการ Mac bug bounty หรือโครงการล่ารางวัลด้วยการค้นหาช่องโหว่บน MacOS ซึ่งต่อมาก็ขยายไปยัง watchOS และ Apple TV ด้วย

ส่วนโครงการ 1 ล้านเหรียญฯ สำหรับผู้ที่เจอช่องโหว่บน iOS ของ iPhone นั้น ทาง Apple จะให้ทำการค้นหาช่องโหว่หรือแฮกตัวเครื่อง iPhone จากระยะไกล โดยที่เจ้าของเครื่องจะไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับตัวเครื่องทั้งนั้น นอกจากนี้หากใครสามารถพบช่องโหว่ก่อนมีการอัพเดตออกไป จะได้รับเงินเพิ่มอีก 500,000 เหรียญฯ ไปเลย

อาจดูเหมือน Apple มั่นใจเรื่องความปลอด OS ของตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องมองว่า หากมีผู้เข้าร่วมแข่งขันหาเจอจริง ๆ ก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะทาง Apple จะได้อุดช่องโหว่นั้นแต่เนิ่น ๆ ก่อนจะสร้างความเสียหายแก่ลูกค้า แล้วต้องมาจ่ายค่าปรับที่อาจเยอะกว่าเงินรางวัล กับการกู้ชื่อเสียงใหม่อีกครั้งครับ

ที่มา : Forbes ,aripfan.com

iPhone 11 มีอะไรใหม่ iPhone 11 Pro iPhone 11 Pro Max รวมข่าวหลุดก่อนเปิดตัว

iPhone 11 มีอะไรใหม่ iPhone 11 Pro iPhone 11 Pro Max รวมข่าวหลุดก่อนเปิดตัว

10:40 Add Comment

iPhone 11 มีอะไรใหม่บ้าง เพราะใกล้เข้ามาทุกทีแล้วสำหรับงานสำคัญอย่าง Special Event ที่ Apple จะจัดขึ้นในวันที่ 10 กันยายน 2019  เลยมาดูสรุปข่าวหลุด iPhone 11 ว่าจะมีสเปคและหน้าตาอย่างไร

iPhone 11 มีอะไรใหม่ image : youtube EverythingApplePro

  • iPhone 11 จะมีถึง 3 รุ่นด้วยกัน คือ iPhone 11 , iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ไม่ใช้ตัวเลขแบบภาษาโรมันแล้ว ชัดๆไปเลยเลข 11
  • โดยในเรื่องหน้าจอนั้น iPhone 11 6.1 จะใช้จอ LCD แต่ iPhone 11 Pro 5.8 นิ้ว และ iPhone 11 Pro Max 6.5 นิ้ว จะใช้จอ OLED
  • มาพร้อม FaceID สามารถจับภาพใบหน้าเราได้กว้างขึ้น
  • แต่ที่น่าจับตาจริงๆเห็นจะเป็นเรื่องกล้อง ที่ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกล้องหลัง 3 ตัวมาพร้อม Ultra wide angle แต่เรียงทรงใหม่ต่างจากสมาร์ทโฟนตัวอื่นๆ เพราะเรียงกลมๆเป็นสามเหลี่ยมในกรอบสี่เหลี่ยม คาดว่าคงเพิ่มความสามารถในการเก็บรายละเอียดของภาพ หน้าชัดหลังเบลอ การถ่ายแสงน้อย และความสามารถในการถ่ายวีดีโอ
  • ด้านหลังมีชื่อ iPhone อยู่ด้านล่างๆของเครื่อง ขณะที่ iPhone 11 ปกติ กล้องหลังจะยังเป็นกล้องคู่
  • สิ่งที่อัปเดตคือ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max จะน้ำได้ลึกขึ้นและกดถ่ายใต้น้ำได้
  • iPhone 11 มาพร้อมกับ iOS13 และชิปใหม่ A13 ที่ทำงานเร็วแรงขึ้นกว่า A12 และจัดการกับเรื่องพลังงานแบตเตอรี่มากขึ้น
  • iPhone 11 ทั้ง 3 ตัวใหม่ และ iPhone รุ่นเก่าที่อัปเดตเป็น iOS13 จะไม่มีฟีเจอร์ 3d touch แล้ว แทนที่ด้วยการกดค้างที่ไอคอนนานๆแทน
  • iPhone 11 จะรองรับ Apple Pencil ในการวาดเขียน
  • มีข่าวลือว่าขนาดแบตเตอรี่จะใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับความสามารถการชาร์จไร้สายให้อุปกรณ์ตัวอื่นๆ คล้ายกับฟีเจอร์บน Galaxy S10 และ Galaxy Note 10
  • และสุดท้ายคือการชาร์จไฟ จะมาในรูปแบบ Fast Charger ที่หวังว่าจะแถม adaptor ชาร์จที่ช่วยชาร์จไฟเร็ว 18W

โดย Apple iPhone 11 จะเปิดพรีออเดอร์จองเครื่อง วันที่ 13 กันยายน และรับเครื่อง 20 กันยายนนี้สำหรับต่างประเทศ

ข้อมูลจาก CNET ,it24hrs

ภาพจาก EverythingApplePro

BX.in.th ประกาศปิดตัว สะเทือนวงการบิทคอยน์ในไทย

BX.in.th ประกาศปิดตัว สะเทือนวงการบิทคอยน์ในไทย

10:35 Add Comment

BX.in.th ประกาศปิดตัว ซึ่งการปิดตัวครั้งนี้สะเทือนวงการบิทคอยน์ (BITCOIN) ในไทยอย่างมาก เป็นข่าวใหญ่และต้องระมัดระวังอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดบิทคอยน์ ใครมีเหรียญอะไรอยู่ให้เตรียมย้ายด่วน ทั้งนี้ในส่วนรายชื่อผู้ที่ได้รับใบอนุญาตซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย เหลือ 2 ที่ คือ BITKUB และ SatangPro โดยของ BX.in.th สามารถเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ถึงสิ้นเดือนกันยายน 2019 นี้

รายละเอียดประกาศปิดตัว bx.in.th ของบริษัท บิทคอยน์ จำกัด มีอยู่ว่า…

“บริษัท บิทคอยน์ จำกัด ได้ตัดสินใจยุติบทบาทการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการให้บริการด้านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Asset Wallet) เนื่องจากบริษัทฯได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจในทางอื่นๆ แทนการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

ดังนั้นภายหลังจากวันที่ 30 กันยายน 2562 ลูกค้าจะไม่สามารถทำการซื้อขาย, แลกเปลี่ยน (เทรดดิ้ง) ผ่านเว็บไซต์ BX.in.th ได้อีกต่อไป แต่ลูกค้ายังคงทำคำสั่งถอนได้ตามปกติ

เนื่องจากบริษัทฯไม่มีความประสงค์จะต่อใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2563 อีกต่อไป บริษัทฯ ขอเรียนแจ้งให้ลูกค้าทุกท่านทำการเปิดคำสั่งถอนสินทรัพย์ดิจิทัลและเงินออกจากบัญชีของท่านที่มีอยู่ภายใต้ระบบ BX.in.th เพื่อเข้าสู่บัญชีธนาคารพาณิชย์และหรือกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัว (Personal Wallet) ของทุกท่านที่ได้ลงทะเบียนไว้กับเราให้เรียบร้อยก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 บริษัทฯ จะยังคงเปิดเว็บไซต์ BX.in.th ต่อไปเพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าสามารถติดต่อบริษัทฯ ในการดำเนินการถอนทรัพย์สินของลูกค้าที่ยังคงค้างอยู่ในระบบเท่านั้น

ทั้งนี้ บริษัทจะยุติการทำรายการฝากหลังวันที่ 6 กันยายน 2562 ดังนั้นลูกค้าจะไม่สามารถทำรายการฝากรายการใหม่ได้อีกต่อไป

หากลูกค้าท่านใดได้รับปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือในการถอน กรุณาส่งคำร้องของท่านผ่านทาง Support Ticket และพนักงานของเราจะทำการติดต่อและช่วยเหลือท่านต่อไป

ท้ายที่สุดนี้ คณะผู้บริหารและพนักงานทุกคน ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านอย่างสุดซึ้ง สำหรับความไว้วางใจในบริษัท บิทคอยน์ จำกัด รวมถึงในการใช้บริการ BX.in.th มาตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี ด้วยดีเสมอมา

ด้วยมาตรฐานในการกำกับดูแลและให้บริการทุกท่านด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ขอให้ท่านมั่นใจได้ว่าเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้าทุกท่านได้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย และลูกค้าทุกท่านจะได้รับเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัลของท่านคืนทั้งหมด 100% อย่างแน่นอน”

กลต. เตือนลูกค้าของ BX ให้ระมัดระวังเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊กหลอกลวงให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัล

ทางด้านของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. ได้ออกเตือนลูกค้า BX หลังพบผู้ฉวยโอกาส สร้าง facebook ปลอมหลอกลวงโอนเงินสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีรายละเอียดดังนี้

“ ตามที่บริษัท บิทคอยน์ จำกัด (BX) ประกาศ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 เวลา 6.06 น. ว่าบริษัท บิทคอยน์ จำกัด ได้ตัดสินใจยุติบทบาทการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการให้บริการด้านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Asset Wallet) โดยภายหลังจากวันที่ 30 กันยายน 2562 ลูกค้าจะไม่สามารถทำการซื้อขายแลกเปลี่ยน (เทรดดิ้ง) รายละเอียดตาม https://bx.in.th/ นั้น

จากการติดตามของ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 เวลาประมาณ 8.30 น. พบว่ามีเฟซบุ๊กปลอมรายหนึ่งมีปรากฏข้อความหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าเป็นช่องทางของ บริษัท บิทคอยน์ จำกัด ในการรับโอนเงินหรือสินทรัพย์ดิจิทัล

ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ลงทุนที่เป็นลูกค้าของ บริษัท บิทคอยน์ จำกัด ใช้ความระมัดระวัง กรณีอาจมีเว็บไซต์ หรือเฟซบุ๊ก ที่ฉวยโอกาสนี้มาแอบอ้างให้โอนเงิน หรือสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อป้องกันการถูกหลอก โดย ก.ล.ต. ขอให้ลูกค้าติดต่อที่เว็บไซต์ข้างต้นของ บริษัท บิทคอยน์ จำกัด เท่านั้น

ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้ประสานความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เพื่อพิจารณาดำเนินการกับผู้แอบอ้างดังกล่าวแล้ว

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ตั้งศูนย์แนะนำช่วยเหลือผู้ลงทุนเฉพาะกิจ เพื่อดูแลผู้ลงทุนที่เป็นลูกค้า บริษัท บิทคอยน์ จำกัด โดยลูกค้าสามารถขอคำแนะนำได้ที่ Help Center ของ ก.ล.ต. หมายเลข 1207 กด 7 หรืออีเมล info@sec.or.th 24 ชั่วโมง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2562 เวลา 6.45 น. เป็นต้นไป”

ข้อมูลจาก bx.in.th , สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กลต. ,it24hr

Huawei โชว์ 5G ที่เปิดใช้ในประเทศจีนแล้ว

Huawei โชว์ 5G ที่เปิดใช้ในประเทศจีนแล้ว

10:25 Add Comment

Huawei โชว์ 5G ที่เปิดใช้ในประเทศจีนแล้ว แสดงโชว์ในงาน หัวเว่ย เอเชียแปซิฟิก อินโนเวชั่น เดย์ ครั้งที่ 5 ( Huawei Asia-Pacific Innovation Day ) ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 4 กันยายน 2019 ที่เมืองเฉิงตู โดยหัวเว่ยและพันธมิตรได้จัดแสดงการใช้งานนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ที่ไร้ขีดจำกัด เช่น 5G+VR (Virtual Reality), 5G + วิดีโอความละเอียด 8K, 5G + โดรน, การแพทย์ทางไกลผ่าน 5G และรถฉุกเฉินที่เชื่อมต่อผ่าน 5G

Huawei โชว์ 5G การจัดแสดงการใช้งาน 5G ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ

5G + VR: ที่ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่จัดงานหลายกิโลเมตร มีการใช้กล้องพาโนรามา VR 360° ถ่ายทอดสดการเคลื่อนไหวของแพนด้าจากภายในคอก ผ่านเครือข่าย 5G ไปยังผู้ชมที่สวมชุดรับชม VR อยู่ และสามารถร่วมสนุกไปกับประสบการณ์สุดสมจริง เสมือนได้เข้าไปอยู่ร่วมกับเหล่าแพนด้าแสนน่ารัก

5G + วิดีโอ 8K: หน้าจอความละเอียด 8K ถ่ายทอดภาพวิดีโอความคมชัดสูงระดับ Ultra HD แบบเรียลไทม์ ผ่านเครือข่าย 5G ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถเพลิดเพลินไปกับการแสดงด้วยภาพที่ละเอียดและคมชัดกว่า

ด้วยเครือข่าย 5G ความเร็วสูงระดับอัลตราไฮสปีด การใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ได้เรียกกระแสความสนใจจากผู้ชมจากหลากหลายประเทศและภูมิภาคในเอเชียแปซิฟิก ยกตัวอย่างเช่น วิดีโอความคมชัดระดับ 8K ซึ่งมีความละเอียด 7680×4320 สูงกว่าวิดีโอ 4K ถึง 4 เท่า และต้องใช้แบนด์วิธสำหรับอัพสตรีมอย่างน้อย 100 Mbit /s ซึ่งมีเพียงเครือข่าย 5G เท่านั้นที่สามารถทำได้

เนื่องจากเครือข่าย 5G มีการครอบคลุมที่กว้างกว่า ทำให้การถ่ายทอดสด 8K เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและทุกเวลาที่ต้องการ ด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่าและค่าใช้จ่ายที่ถูกลง ในอนาคต 5G จะมีบูรณาการควบคู่ไปกับ VR, การถ่ายทอดสดวิดีโอ 8K และบริการด้านอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งจะช่วยให้เกิดการใช้งานนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้นในหลายๆ ด้าน เช่น การแพทย์ทางไกล และการถ่ายทอดสด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลเกิดได้รวดเร็วขึ้น

5G จะช่วยให้มีการใช้งานมากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยการทำงานแต่ละอย่างก็จะมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและราคาลดลง ดังที่จัดแสดงในงาน เครือข่าย 5G จะเป็นรากฐานของระบบช่วยเหลือการแพทย์ฉุกเฉินที่ครบวงจร ประกอบไปด้วยรถฉุกเฉินที่เชื่อมต่อได้ และแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เช่น AR, VR และโดรน เมื่อผู้ป่วยถูกนำขึ้นรถฉุกเฉินที่เชื่อมต่อ 5G แพทย์สามารถที่จะใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในรถ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ เช่น ตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือการสแกนแบบ B-mode ในขณะเดียวกัน ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาพสแกน สัญญานทางการแพทย์ และประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยจะถูกส่งกลับไปที่โรงพยาบาลแบบเรียลไทม์ ดังนั้นแพทย์จะสามารถเตรียมแผนการรักษาฉุกเฉินและเตรียมการผ่าตัดได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาสำหรับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและเพิ่มอัตราความสำเร็จในการรักษาได้มากขึ้น

นอกจากการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ที่จัดแสดงในงานแล้ว ด้านนอกงานก็มีโชว์นวัตกรรมอื่น ๆ ขับเคลื่อนโดยเครือข่าย 5G เช่นกัน ได้แก่ รถบรรทุกสาธิตที่ใช้เครือข่าย 5G หลายมิติ ทางใต้ของศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคเฉิงตู รถบัส 5G บนถนนวงแหวนที่สอง เมืองเฉิงตู และการแพทย์ทางไกลโรงพยาบาลประชาชนที่ 3 เมืองเฉิงตู ในรูปแบบการใช้งานเหล่านี้ ผู้ชมจะได้สัมผัสกับประสบการณ์เครือข่าย 5G ความเร็วสูงและการใช้งานรูปแบบต่าง ๆ เช่น VR ที่ขับเคลื่อนโดย 5G และวิดีโอความคมชัดสูงพิเศษ (UHD) ขณะเดินทาง

ตอนนี้ 5G เริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์แล้ว จะเปิดประสบการณ์ใหม่สู่ผู้บริโภค ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลในอุตสาหกรรม จนเกิดนวัตกรรมในการใช้งานด้านอุตสาหกรรม และสร้างคุณค่าทางสังคมและเศรษฐกิจที่สูงขึ้น
ที่มา :it24hrs

เปิดตัว EXYNOS 980 ชิปเซ็ตรองรับ 5G จากค่าย SAMSUNG

เปิดตัว EXYNOS 980 ชิปเซ็ตรองรับ 5G จากค่าย SAMSUNG

15:28 Add Comment

เปิดตัว EXYNOS 980 ชิปเซ็ตรองรับ 5G จากค่าย SAMSUNG


Samsung ประกาศเปิดตัวชิปเซตสำหรับสมาร์ทโฟนในชื่อรุ่น Exynos 980 ซึ่งมาพร้อมกับโมเด็ม 5G ในตัวเป็นรุ่นแรกของค่าย

Exynos 980 ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม FiNFET 8 นาโมเมตร ประกอบด้วยแกนประมวลผล 8 แกน ได้แก่ Cortex-A77 จำนวน 2 แกน กำลัง 2.2GHz และ Cortex-A55 อีก 6 แกน กำลัง 1.8GHz สำหรับ GPU เป็น Mali-G76 MP5

สเปคส่วนอื่นชิปเซตรุ่นนี้รองรับจอแสดงผลความละเอียดสูงสุด WQHD+ ที่ให้ความละเอียดสูงสุด 3360×1440 พิกเซล มีโมเด็ม 5G ที่ให้ความเร็วสูงสุด 2.55Gbps ขณะที่ความเร็วแบบ LTE ที่เป็น Cat.16 5CA สูงสุด 1Gbps โดยที่รองรับหน่วยความจำชนิด UFS 2.1 กับ eMMC 5.1 ขณะที่ RAM เป็นแบบ LPDDR4x

สำหรับการถ่ายภาพตัวชิปรองรับได้สูงสุดกับกล้องเดียว 108 ล้านพิกเซล และแบบกล้องคู่ 20+20 ล้านพิกเซล ด้านการถ่ายวีดีโอรองรับสูงสุด 4KUHD@120fps

ชิป Exynos 980 คาดว่าจะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเท่ากับว่าสมาร์ทโฟนที่จะใช้ชิปนี้ก็น่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2020