Google เปิดตัว Pixel C แท็บเล็ตไฮบริดพรีเมี่ยมตัวใหม่

Google เปิดตัว Pixel C แท็บเล็ตไฮบริดพรีเมี่ยมตัวใหม่

BoOnreAm 13:57 Add Comment
 Google เปิดตัว Pixel C แท็บเล็ตไฮบริดพรีเมี่ยมตัวใหม่ !!
เรียกว่านอกจากมือถือแล้วก็ยังมีแท็บเล็ตอย่าง Pixel C เปิดตัวตามมาด้วย ซึ่งเมื่อเช้าวานนี้เราเพิ่งจะนำเสนอข้อมูลของแท็บเล็ตตัวนี้ไปเองว่าอาจจะ มีการเปิดตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายน แต่ในงานก็ดันเซอร์ไพรส์เปิดตัวมาด้วยเลย ซึ่งซีรี่ส์ Pixel นี้แต่ก่อนก็เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Chromebook แต่ Pixel C นี้จะเปลี่ยนมารันบนระบบ Android แทน Pixel C ก็เป็นแท็บเล็ตไฮบริดที่จะเน้นไปที่ความพรีเมี่ยมและใช้งานควบคู่กับตัวคีย์บอร์ดเสริมเป็นหลัก
ตัวคีย์บอร์ดจะใช้แม่เหล็กในการยึดเครื่องเข้าหากัน และใช้ Bluetooth ในการเชื่อมต่อไปหาตัวแท็บเล็ต
สเปค Pixel C

  • รัน Android 6.0 Marshmallow
  • หน้าจอ 10.2 นิ้ว ความละเอียด 2560x1800 พิกเซล
  • หน่วยประมวลผล NVIDIA Tegra X1
  • แรม 3GB
  • รอม 32 , 64GB
  • ราคา 32GB = $499 (18,200) , 64GB = $599 (21,800 บาท)
  • ราคาคีย์บอร์ดแยก $149 (5,500 บาท)
ที่มา : Android Police , Cnet
Surface Pro 4 จอ 12.3 นิ้ว บางเบากว่าเดิม, Surface Pen ใหม่+ราคา

Surface Pro 4 จอ 12.3 นิ้ว บางเบากว่าเดิม, Surface Pen ใหม่+ราคา

BoOnreAm 13:32 Add Comment
surface pro 4

อย่างที่ทราบกัน Apple มี iPad Pro และ Google ก็เปิดตัว Google Pixel C มาวันนี้เป็นทางฝั่งของ Microsoft ได้เปิดตัวแล็ปท็อปในร่างแท็บเล็ต "Surface Pro 4" อย่างเป็นทางการแล้ว

Surface Pro 4 มีอะไรใหม่บ้าง ?
  • หน้าจอใหญ่ขึ้นนิดหน่อยเดิม Surface Pro 3 ขนาด 12 นิ้ว ส่วน Surface Pro 4 จะอยู่ที่ 12.3 นิ้ว
  • ขอบจอแคบกว่าเดิม
  • Microsoft เรียกเทคโนโลยีที่ใช้ในหน้าจอใหม่ว่า "PixelSense" 
    • แสดงผลได้มากกว่า 5 ล้านพิกเซล 267 ppi 
    • รองรับปากกา Surface Pen แบบใหม่ที่แรงกด 1024
    • Microsoft พัฒนาชิปเซ็ตพิเศษ G5 ช่วยให้การทัชลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • บางและเบากว่าเดิม (8.4 มม.)
  • ซีพียู Intel Core 6th Generation เร็วกว่า Surface Pro 3 ประมาณ 30%  และเร็วกว่า MacBook Air 50%
  • แรมสูงสุด 16GB ความจุสูงสุด 1TB
  • กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล + ออโต้โฟกัส
ปากกา Surface Pen แบบใหม่
  • ปลายด้ามมีความสามารถเหมือนยางลบ
  • รองรับแรงกด 1024 ระดับ low latency ให้ความรู้สึกเหมือนใช้ปากกาจริงๆ
  • เวลาเก็บดูดติดเข้ากับข้างเครื่อง Surface Pro 4 ได้เลย เพราะตัวปากกาจะมีแม่เหล็กอยู่ภายใน
  • เรียกใช้งาน Cortana (สั่งงานด้วยเสียง) ด้วยการกดปุ่มที่ตัวปากกา
  • เปลี่ยนหัวปากกาได้
Type Cover เคสคีย์บอร์ด แบบใหม่
  • บางและเบากว่าเดิม
  • มีไฟ backlit
  • trackpad ใหญ่กว่าเดิม 40%
  • รองรับมัลติทัช 5 จุด
  • มีสแกนลายนิ้วมือ (ในวีดีโอโปรโมทระบุว่า เฉพาะในสหรัฐอเมริกา เท่านั้นที่มี)
ราคาและกำหนดการวางจำหน่าย
  • เปิดให้จองที่สหรัฐอเมริกาแล้ววันนี้ วางขายทั่วไป 26 ตุลาคม 2015
  • ตัวเครื่องมีปากกา Surface Pen ให้ แต่ Type Cover ต้องซื้อเพิ่ม
  • รุ่น Intel Core M3 แรม 4GB ความจุ 128GB - $899 ประมาณ 32,xxx บาท
  • รุ่น Intel Core i5 แรม 4GB ความจุ 128GB - $999 ประมาณ 36,xxx บาท
  • รุ่น Intel Core i5 แรม 8GB ความจุ 256GB - $1,299 ประมาณ 47,xxx บาท
  • รุ่น Intel Core i7 แรม 8GB ความจุ 256GB - $1,599 ประมาณ 57,xxx บาท
  • รุ่น Intel Core i7 แรม 16GB ความจุ 256GB - $1,799 ประมาณ 65,xxx บาท
  • รุ่น Intel Core i7 แรม 16GB ความจุ 512GB - $2,199 ประมาณ 79,xxx บาท
สเปคเครื่อง Surface Pro 4

ระบบปฏิบัติการ
Windows 10 Pro
ภายนอก ขนาดตัวเครื่อง
292.10 x 201.42 มม. บาง 8.4  มม.

น้ำหนัก
รุ่น Intel Core m3 : 766 กรัม
รุ่น Intel Core i5/i7 : 786 กรัม

คุณสมบัติ
วัสดุแมกนีเซียม, kickstand ขาตั้งในตัว, แม่เหล็กดูดติดคีย์บอร์ด

สี: เงิน
ปุ่ม: ปรับเสียง, เปิดปิดเครื่อง
หน้าจอ 12.3 นิ้ว PixelSense™ Display
ความละเอียด: 2736x1824 (267 ppi)
อัตราส่วน Contrast: 1300:1
อัตราส่วนหน้าจอ: 3:2
แสดงสี sRGB 100%
รองรับการสัมผัส: 10 จุด
หน่วยประมวลผล 6th Generation Intel Core m3, Core i5/i7
กราฟิกส์ Intel® HD graphics 515 (Intel® Core™ m3)
Intel® HD graphics 520 (Intel® Core™ i5)
Intel® Iris™ graphics 540 (Intel® Core™ i7)
แรม 4GB, 8GB หรือ 16GB
ความจุ SSD PCIe 3.0: 128GB, 256GB, 512GB หรือ 1TB
ความปลอดภัย ชิป TPM 2.0 for enterprise security
ปากกา Surface Pen
รองรับแรงกด 1,024 ระดับ
มีแม่เหล็กดูดติดเข้ากับเข้าตัวเครื่องได้
การเชื่อมต่อ WiFi 802.11ac 2x2 MIMO, IEEE 802.11a/b/g/n
Bluetooth 4.0 LE
แบตเตอรี่ สูงสุด 9 ชั่วโมง (เล่นวีดีโอ)
กล้อง กล้องหน้ารองรับ Windows Hello ปลดล็อคเครื่องด้วยใบหน้า
กล้องหลัง 8.0 ล้านพิกเซล 1080p HD + ออโต้โฟกัส
กล้องหน้า 5.0 ล้านพิกเซล 1080p HD
ช่องเสียบ USB 3.0
Mini DisplayPort
microSD การ์ด (UHS-I performance)


ราคา iPad Pro, Apple Pencil อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

ราคา iPad Pro, Apple Pencil อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

BoOnreAm 11:14 Add Comment
เปิดขายผ่าน Apple Store Online เป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ iPad Pro มาดูเรื่องรุ่นและราคากันบ้างว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
iPad Pro มีให้เลือก 3 สีได้แก่ สีเงิน สีทองและสีสเปซเกรย์ และมี 3 ราคาให้เลือกเช่นกัน
ipad-pro-price-thailand
รุ่น Wi-Fi มีให้เลือก 2 ความจุคือ 32GB และ 128GB ราคาอยู่ที่ 30,900 และ 36,900 บาทตามลำดับ สามารถสั่งซื้อได้แล้ววันนี้และรอส่งประมาณ 1 สัปดาห์
ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular นั้นมีให้เลือกเพียงความจุเดียวคือ 128GB ราคาอยู่ที่ 41,900 บาท โดยรุ่นนี้นยังไม่สามารถสั่งซื้อได้เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากฝ่ายที่ เกี่ยวข้องเสียก่อน
ทั้งนี้อุปกรณ์เสริมของ iPad Pro นั้นมีให้เลือก 3 อย่างได้แก่
  1. Apple Pencil ราคาอยู่ที่  3,900 บาท มาพร้อมสายหัวแปลงเพื่อชาร์จกับสาย Lightning
  2. Smart Keyboard ราคา 6,700 บาท ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับ iPad Pro เพื่อความสะดวกในการฟิล์มอย่างต่อเนื่อง เหมาะสำหรับนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ฯลฯ
  3. iPad Pro Smart Cover หรือเคสกันหน้าจอ iPad ราคา 2,800 บาท
สำหรับ iPad Pro นั้นท่าจะได้เห็นตัวจริงในประเทศไทยนั้นในวันที่ 13 พ.ย. 2558 ที่จะถึงนี้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วไป

สั่งซื้อ iPad Pro ได้แล้ววันนี้ที่ Apple Store Online

ที่มาข้อมูลจาก :iphonemod
วิธีการอัพเดท watchOS 2.0.1 แบบง่ายๆ

วิธีการอัพเดท watchOS 2.0.1 แบบง่ายๆ

BoOnreAm 10:58 Add Comment
สำหรับหลายคนแล้ว Apple Watch น่าจะเป็นนาฬิกาเรือนโปรดที่หลายคนกำลังใช้งานกันอยู่ และตัวเครื่องสามารถอัพเดทความสามารถได้เหมือนการอัพเดท Mac / iPhone / iPad / iPod touch หลายคนก็อาจมีคำถามว่า อัพเดทอย่างไร? อัพเดทแล้วข้อมูลในนาฬิกาจะหายไหม ทีมงานจึงเปิดบทความความสามารถ+วิธีการอัพเดท Apple Watch เอาไว้ให้เป็นคู่มืออย่างง่ายให้อ่านกัน
watchOS 2

 

มีอะไรใหม่ใน watchOS 2

หน้าปัดนาฬิกา : เพิ่มหน้าปัดแบบใส่รูปโปรดหรืออัลบั้มรูปทั้งหมดที่มีใน Apple Watch / หน้าปัดแบบ Time-lapse จากวิวเมืองสำคัญๆ ในแต่ละมุมโลก / Time Travel สำหรับคำนวณเวลาเดินทางโดยเทียบกับข้อมูลจราจร /  Nightstand mode เมื่อชาร์จนาฬิกาแบบวางแนวนอน จะเปลี่ยนตัวเองเป็นนาฬิกาตัวใหญ่ มองง่าย และบอกเวลาปลุกที่เราตั้งไว้ 
Siri : รองรับภาษาฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ / รองรับการตอบ FaceTime Audio กับ Email / ใช้ถามข้อมูลการเดินทาง ดูหน้าปัดรวมทั้งหมดของนาฬิกา รวมถึงเรียกข้อมูลการออกกำลังกายได้ 
การออกกำลังกาย : รองรับการเก็บข้อมูลการออกกำลังกายที่มาจาก App อื่นๆ บันทึกลงในข้อมูล Activity แต่ละวันได้ / แชร์ข้อมูล Activity Rings ได้ / เก็บข้อมูลการออกกำลังกายให้อัตโนมัติ 
Apple Pay : รองรับ Discover Card / เก็บบัตรสะสมแต้มของบัตรเครดิตและร้านค้าที่ร่วมรายการได้ 
Digital Touch : เพิ่มได้เป็นหน้า หน้าละ 12 คน / ตั้งชื่อกลุ่มในแต่ละหน้าได้ / วาดเส้นแบบผสมสีได้ / เพิ่มรูปแบบ Emoji 
Maps : รองรับข้อมูลจราจร (ใช้ได้ในบางประเทศ) 
Music : เพิ่ม Beats 1 กับปุ่ม Quick Play เพื่อเปิดเพลงได้ทันทีไม่ต้องเลือกก่อน
Activation Lock : สั่งล็อคนาฬิกาของเราในรูปแบบ Passcode เมื่อนาฬิกาหาย (ปลดด้วย Apple ID อันเดียวกับที่เราใช้กับ iPhone ของเรา) 
Dictation : ใช้พิมพ์ตอบกลับอีเมล

มีอะไรใหม่ใน watchOS 2.0.1

  • เพิ่ม Emoji รูปแบบใหม่ๆ ให้ใช้งาน
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ
  • แก้ไขข้อผิดพลาดบางประการ เช่น
    • แก้ไขปัญหาที่อาจทำให้การอัปเดตซอฟต์แวร์ทำงานค้าง
    • แก้ไขปัญหาแบตเตอรี่
    • แก้ไขปัญหาที่ทำให้ iPhone ไม่สามารถ Sync ข้อมูลปฏิทินได้
    • แก้ไขปัญหาที่ทำให้อัปเดตข้อมูล Location ไม่ถูกต้อง
    • แก้ไขปัญหาที่ทำให้ Digital Touch ถูกส่งจากอีเมลแทนเบอร์โทรศัพท์
    • แก้ไขปัญหาเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจทำงานค้างตลอดเมื่อเรียกใช้ Siri วัดอัตราการเต้นของหัวใจ

ขั้นตอนการอัพเดท WatchOS 2.0.1

iOS_9_Front_Cover_Resize
1. อัพเดท iPhone ให้เป็น iOS 9.1 ก่อน เพราะ watchOS 2.0.1 ต้องใช้กับ iOS 9.1 ขึ้นไป (เรื่องของ iOS 9.1 อ่านได้ที่นี่)  
Apple Watch Battery
2. ชาร์จ iPhone กับ Apple Watch เอาไว้ ส่วน iPhone ต้องต่อ Wi-Fi เพื่อใช้ในการดึงข้อมูลการอัพเดท Apple Watch เท่านั้นควรชาร์จ Apple Watch ไว้ตลอดเวลาขณะที่อัพเดทจนกว่าจะเสร็จ 
watchOS_OTA_1
3. ที่ iPhone ของเรา แตะเข้าไปที่ไอคอน Apple Watch -> General -> Software Updates 
watchOS_OTA_2
4. อัพเดท watchOS จะแสดงขึ้นมา แตะที่ Download และรอสักครู่ (หากตั้งค่ารหัสผ่านของเครื่องไว้ ต้องใส่ก่อนยืนยันอัพเดท) 
watchOS_OTA_3
5. เมื่อติดตั้งเสร็จ แถบสถานะเตรียมตัวติดตั้งจะแสดงขึ้น 
watchOS_OTA_4
6. สถานะติดตั้งจะแสดงขึ้นเมื่อเตรียมตัวเสร็จ เมื่อติดตั้งเสร็จ นาฬิกาจะเปิดกลับขึ้นมาใช้งานได้อีกครั้งโดยอัตโนมัติ 
watchOS_OTA_5
7.ในหน้าจอ Software Updates ของ Apple Watch จะแสดง Version ล่าสุด 
ที่มา :macstroke
พรีวิว iPad Pro ครั้งแรกกับ iPad ที่ใหญ่เวอร์วังอลังการจริงๆ

พรีวิว iPad Pro ครั้งแรกกับ iPad ที่ใหญ่เวอร์วังอลังการจริงๆ

BoOnreAm 10:50 Add Comment
iPad-Pro-preview-4
iPad Pro เปิดขายออนไลน์ทั่วโลกไปเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2558 ที่ผ่านมาจากนั้นผ่านมาอีก 2 วัน ในไทยก็มีเครื่องพร้อมขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว(มาเร็วกว่า iPod touch 6th เสียอีก) ทีมงานมีโอกาสได้มาลองทดสอบใช้งานเบื้องต้นแล้วเดี๋ยวจะขอแบ่งปันประสบการณ์ ให้ฟังกันดูนะครับ


สเปค iPad Pro เราไปชมกันก่อนว่ามีอะไรที่เด่นบ้าง?
apple-iphone-6s-live-_1121

  • ใช้ชิป A9X ประมวลผลเร็วกว่า Laptop ทั่วไปถึง 80%
  • RAM เพิ่มขึ้น 2 เท่า ทั้งหมดให้มา 4GB
  • แบตใช้งานได้นานถึง 10 ชม.
  • กล้องหลังขนาด 8MP ถ่ายวีดีโอไม่รองรับ 4K แบบ iPhone 6s
  • มีลำโพง 4 ตัว โดยแยกออกเป็น 4 มุมของตัวเครื่อง
  • บางเพียง 6.9 mm ซึ่งเกือบบางเท่า iPad Air
  • รองรับการทำงานแบบแบ่งหน้าจอ
  • รองรับ Touch ID
  • รองรับ Force Touch (เฉพาะใช้งานกับ Apple Pencil)
  • มี Apple Pencil ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานด้านกราฟฟิก ราคาอยู่ที่ 3,900 บาท
  • มี Smart Keyboard ที่เป็นทั้งเคสปิดหน้าจอ ราคาอยู่ที่ 6,700 บาท
  • มี 3 สี ดำ ทอง เทาสเปซส์เกรย์
  • รองรับระบบเครือข่าย LTE สูงสุด 150Mbps

จอใหญ่ 12.9 นิ้ว

iPad-Pro-preview-1
ใหญ่แล้วไง? ทำไมต้องทำใหญ่ขนาดนี้ด้วย?
“ต้องมองที่จุดประสงค์ก่อนว่าทำไม Apple ถึงออกแบบมาให้ใหญ่แบบนี้ สาเหตุก็เพราะว่าต้องการตอบสนองกับงานบางงานกลุ่มซึ่งทาง Apple นั้นจะเน้นจับกลุ่มไปยังลูกค้าองค์กรเป็นหลัก ซึ่งความต้องการใช้งานอุปกรณ์ที่หน้าจอสัมผัสที่สามารถใช้แรงกดจากมือสำหรับ การสร้าง input ได้อย่างมีประสิทธิภาพและการแสดงผลหน้าจอที่ละเอียดสูงพร้อมกับการตอบสนอง ที่รวดเร็ว”
เครื่องมือแต่ละชิ้นถูกพัฒนาออกมาเพื่อให้ทำหน้าที่โดยเฉพาะของมันให้ดีที่สุด
iPad Pro ก็เช่นกัน…
เอาหละเรื่องหน้าจอใหญ่นั้นขนาดเส้นทะแยงยาวถึง 12.9 นิ้ว ถ้ามองไม่เห็นภาพผมได้นนำ iPad Pro เทียบกับ Macbook Air 13″ และ Macbook Pro 15″ มาให้ชม


iPad-Pro-preview-18
ขนาดหน้าจอ iPad Pro vs. Macbook Air 13″
iPad-Pro-preview-15
ขนาดหน้าจอ iPad Pro vs. Macbook Pro 15″
จะเห็นว่าหน้าจอของ iPad Pro นั้นใหญ่กว่า Macbook Air 13″ เลยทีเดียวหากเทียบกับ Macbook Pro 15″ ก็เล็กกว่าอย่างที่เห็นได้ด้านบน


iPad-Pro-preview-3
เปรียบเทียบ iPad min vs. iPad Pro

โดดเด่นเรื่องการจอแสดงผลและลำโพง 4 ตัวทำให้เสียงกระหึ่ม

iPad-Pro-preview-10
จอแสดงผลของ iPad Pro มาพร้อมความละเอียด 2732 x 2048 ที่ 264 พิกเซลต่อนิ้ว (ppi) เน้นให้เห็นรายละเอียดของรูปภาพ, วีดีโอและกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูง
ลำโพงของ iPad Pro มีทั้งหมด 4 ตัวอยู่แต่ละมุมของตัวเครื่องดังรูปด้านล่าง ลองใช้งานดูแล้วโดยการเปิดเพลงฟังพบว่าเสียงดีกว่าเดิมมากและได้ยินเสียงเบส อีกด้วย แต่หากจะหวังให้เสียงดังตึ๊บๆ แบบนั้นก็คงจะไม่ใช่
iPad-Pro-preview-29iPad-Pro-preview-28iPad-Pro-preview-27iPad-Pro-preview-6

ทำงานพร้อมกันแบบ 2 หน้าจอ

iPad-Pro-preview-31
ฟีเจอร์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ของวงการแท็บเลตในท้องตลาดแต่ว่านี่เป็นครั้ง แรก(หลังปล่อย iOS 9) สำหรับ Apple ที่ปล่อยฟีเจอร์นี้ออกมาให้ใช้ เพราะมองเห็นแล้วว่าความเร็วของ cpu และ ram ที่มีนั้นเพียงพอสำหรับทำหน้าที่นี้ ไม่ใช่ “ทำได้นานแล้ว แต่กระตุกและใช้งานยาก”
iPad-Pro-preview-21
การเรียกใช้งาน 2 แอปบนหน้าจอเดียวกันทำได้โดย swipe จากขอบจอด้านขวามเข้ามาด้านใน จากนั้นสามารถเลือกแอปที่จะเปิดได้ลองชมคลิปด้านล่างดูครับ

Admin: ฟีเจอร์ใช้งาน 2 จอพร้อมกัน #iPadPro #iMod
Posted by iPhonemod – เรื่องเล็กๆของ iPhoneกลุ่มคนรักไอโฟนในประเทศไทย on Thursday, November 12, 2015

Apple Pencil สิ่งที่ขาดไม่ได้

apple-pencilIMG_1813
หากซื้อ iPad Pro แล้วแต่ไม่ได้ถอย Apple Pencil ไปด้วยมันเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องซื้อทุกเคสไป
Apple Pencil จะมีประโยชน์มาก สำหรับผู้ที่ใช้มันงานมันอย่างจริงจังเท่านั่น เช่น นักวาดการ์ตูนอะนิเมชัน, นักออกแบบภาพกราฟฟิกซึ่งจะต้องร่างแบบและลงสีจริง, สถาปนิก, นักออกแบบภายใน ฯลฯ เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้(กระดาษ) iPad Pro นั้นมีชีวิต
iPad-Pro-preview-14
Apple Pencil และ iPad Pro เมื่อใช้งานร่วมกันจะสามารถแยกแยะระดับการจดหนักเบาได้ดังนั้นลายเส้นที่ได้ มาจะเป็นไปดั่งใจสั่งโดยไม่ต้องสลับเครื่องมือให้เมื่อย เสมือนว่าเรากำลังวาดอยู่บนกระดาษของจริงเลย
iPad-Pro-preview-32
สำหรับ Apple Pencil เองจะมีแบตในตัวถ้าหมดสามาชาร์จชาร์จเพิ่มได้เลย
apple-pencilIMG_1815

Smart Keyboard สิ่งที่ต้องมีหากคุณนั้นชอบพิมพ์

iPad-Pro-preview-30
แม้ iPad Pro จะมีคีบอร์ดแบบสัมผัสแล้วแต่ผมก็ยังชอบการพิมพ์แบบสัมผัสผ่านแป้นคีบอร์ด อยู่ดี  หากคุณเป็นนักเขียน นักข่าวที่จะต้องพิมพ์เนื้อหาอย่างรวดเร็วถ้าซื้อ iPad Pro ไปแล้วแต่ไม่มี Smart Keyboard ไปด้วยมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากขึ้นเลย
วันนี้ตอนที่ทดสอบใช้งานที่ร้านยังไม่มี Smart Keyboard มาให้ลองทางร้านบอกว่าของจะเข้าปลายเดือนพฤศิจิกายน 2558 นี้ ยังไงก็ต้องใช้งานดูก่อนถึงให้ความเห็นที่ชัดเจนได้

ความเห็นส่วนตัวสำหรับ iPad Pro

iPad-Pro-preview-24
iPad Pro ผมมองว่าเหมาะสำหรับคน “บางกลุ่ม” ที่เน้นการนำอุปกรณ์นี้มาต่อยอดการทำงานของตนเองให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยราคาที่คนทั่วไปอาจจะมองว่า “แพง”  แต่หากลองถามคนทำงานอย่าง อะนิเมเตอร์, ดีไซน์เนอร์, สถาปนิกหรือนักลงทุน ผมคิดว่าคนเหล่านั้นจะตอบว่า “ราคาก็ไม่ถือว่าแพงและยิ่งถ้าทำให้งานของเราดีขึ้นมันก็คุ้มค่าและน่าลงทุน” 
การจะใช้ iPad Pro ให้คุ้มค่า “คุณต้องทราบก่อนว่าจะใช้ทำอะไรและมีแอปพลิเคชันไหนรองรับ”เพราะหากไร้ซึ่งแอปพลิเคชันเหล่านั้นแล้ว iPad Pro มันก็ไม่ต่างอะไรกับ iPad รุ่นก่อนหน้าหรอกที่เอามาเพียงดู Youtube เล่น Facebook หรือ Line เท่านั้น ดังนั้นหากซื้อ iPad Pro ไปแล้วสิ่งที่ต่อคือการซื้อแอปพลิเคชันที่สามารถใช้กับงานที่เราต้องการ เช่น CAD หรือแอปตระกูล Adobe เป็นต้น
สำหรับคำถามที่ว่า “iPad Pro นำมาแทนที่ Notebook ได้ไหม”?
มุมมองของคนทำเว็บที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างเนื้อหาไม่ว่าจะเป็น การพิมพ์, การตัดต่อวีดีโอ, การปรับแต่งภาพถ่าย ฯลฯ ผมมองว่า Macbook หรือว่า Notebook ยี่ห้ออื่นๆ ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่าหากเทียบกับ iPad Pro + Smart Keyboard ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่เคยลองใช้งาน Smart Keyboard ก็ตาม
iPad Pro อาจจะได้เปรียบเรื่องนำหนักที่เบา, ระบบหน้าจอแบบสัมผัสได้และการรองรับกับ Apple Pencil แต่ความยืดหยุ่นในการทำงานและการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกนั้นก็ยังมีความ จำเป็นอยู่มากและ iPad Pro ยังไม่สามารถตอบโจทย์ตัวนี้ได้ ดังนั้น Laptop ก็ยังตอบโจทย์ได้ดีกว่าแม้ว่าจะน้ำหนักมากกว่าหรือใหญ่กว่าก็ตาม

ทั้งหมดถือว่าเป็นประสบการณ์จริงที่ได้ทดสอบแล้วนำมาเล่าสู่กันฟังอาจจะ มีตกหล่นบ้าง ทั้งนี้อยากให้ผู้อ่านได้ข้อมูลที่ครบทุกด้านเพื่อนำไปวิเคราะห์และตัดสินใจ ก่อนซื้อมาใช้งานอีกครั้ง หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถโพสไว้ที่ท้ายบทความนะครับแล้วผมจะมาตอบให้อีก ที

ที่มาบทความ :iphonemod.net
10 เทคนิค แก้ปัญหาแบต iPhone หมดเร็ว แบบคาดไม่ถึง และยังใช้เครื่องได้คุ้ม!

10 เทคนิค แก้ปัญหาแบต iPhone หมดเร็ว แบบคาดไม่ถึง และยังใช้เครื่องได้คุ้ม!

BoOnreAm 08:33 Add Comment
พูดถึงปัญหายอดฮิตของสมาร์ทโฟนสมัยนี้ เชื่อว่าปัญหาหลักปัญหาหนึ่งคงจะหนีไม่พ้นปัญหาแบตเตอรี่ไม่พอใช้จนต้องพึ่ง Powerbank ไว้ชาร์จแบตระหว่างวันกันระนาว แต่ครั้งนี้ทีมงานมีเทคนิคที่จะช่วยให้แบตเตอรี่นั้นหมดช้าลง และใช้งานเครื่องได้คุ้มกว่าเดิมมาฝากกันด้วยครับ

คำแนะนำเบื้องต้นจาก Apple

Screen Shot 2015-03-23 at 11.54.50 PM
Apple เองก็มีคำแนะนำเบื้องต้นเรื่องแบตเตอรี่ให้อ่านกันพอสมควร ซึ่งทีมงานได้สรุปประเด็นสำคัญๆ ออกมาแล้ว ก็มีดังนี้ครับ

1.) อัปเดต iOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

IMG_0965
ในอัปเดตแต่ละครั้งของ iOS อาจจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับปรุงเรื่องการใช้งานแบตเตอรี่เข้ามาบ้าง ซึ่ง Apple ก็แนะนำว่าให้อัปเดต iOS เป็นเวอร์ชันใหม่ทันทีถ้าเป็นไปได้
ดูวิธีอัปเดต iOS เป็นเวอร์ชันล่าสุดได้ ที่นี่ >> สรุปขั้นตอน วิธีการอัปเดต iOS แบบง่ายๆ ผ่าน iPhone/iPad

2.) เก็บให้ห่างจากพื้นที่ที่มีความร้อนสูงหรือต่ำผิดปกติ

Screen Shot 2015-03-23 at 11.53.27 PM
ตัว iPhone เองก็มีลิมิตของพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งลิมิตนี้ Apple ได้ระบุคร่าวๆ เอาไว้แล้วครับ คือทำงานตามปกติได้ที่อุณหภูมิห้อง (0-35 องศาเซลเซียส) และไม่ควรใช้งานในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิผิดปกติ คือเย็นกว่า 0 องศาเซลเซียส หรือร้อนกว่า 35 องศาเซลเซียส เป็นต้น
พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าเอา iPhone ไปวางตากแดดหน้ารถนั่นเอง 

3.) เมื่อไม่ใช้นานๆ ชาร์จไฟเอาไว้ที่ 50% ก่อนเก็บใส่กล่อง

กรณีไม่ใช้งานเครื่องเป็นเวลานาน (เช่น เครื่องรุ่นเก่าแล้ว เอาไว้รับสายอย่างเดียว ฯลฯ) หากต้องการถนอมแบตเตอรี่ Apple แนะนำว่าควรชาร์จแบตเอาไว้ที่ 50% แล้วถอดออก แล้วให้ชาร์จอีกครั้งเมื่อแบตเตอรี่ต่ำกว่า 20% โดยที่ไม่ควรชาร์จแบตให้เต็ม หรือใช้งานตัวเครื่องให้แบตหมด เพราะการทำแบบนี้จะมีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่เองครับ
หากเก็บเครื่องใส่กล่องเป็นเวลานาน ควรนำเครื่องออกมาเติมไฟให้ถึง 50% ทุกๆ 6 เดือนด้วยนะครับ :)


นอกจากคำแนะนำเบื้องต้นแล้ว ทีมงานยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมดังต่อไปนี้อีกด้วยครับ

4.) เปิด Wi-Fi ทิ้งไว้ และใช้ Wi-Fi แทน 3G ทุกครั้ง ถ้าเป็นไปได้

IMG_1152
เมื่อก่อน การใช้ Wi-Fi บนโทรศัพท์มือถือ เป็นเรื่องที่หลายคนไม่อยากจะทำกันนัก เพราะการต่อค้างไว้ เป็นการผลาญแบตอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้การใช้ Wi-Fi ไม่ต้องใช้พลังงานมาก จนเราสามารถเปิดค้างไว้ได้เลยโดยไม่ต้องเปิดๆ ปิดๆ อีกต่อไป
แต่หารู้ไหมว่า เทคโนโลยี Wi-Fi ในปัจจุบันนั้นกินไฟน้อยกว่า 3G/4G มากๆ ทำให้การเปิด Wi-Fi ทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือไม่ ตัวเครื่องจะใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ช่วยในการหาตำแหน่งเสาสัญญาณ และเพิ่มความแม่นยำของ GPS โดยลดภาระการใช้งาน 3G/4G ลงได้ ทำให้เวลาใช้งานแอปกล้อง หรือแอปแผนที่ เครื่องจะประหยัดไฟกว่าตอนปิด Wi-Fi เอาไว้อยู่มากโขเลยล่ะครับ!
คาดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ…


5.) ปิดการค้นหาสัญญาณ 4G หรือ LTE เมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ

IMG_1153
ในบางครั้ง เราต้องเดินทางเข้าสู่พื้นที่อับสัญญาณอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดินทางตามเส้นทางระหว่างเมืองเป็นต้น ถ้าเป็นเช่นนี้ แนะนำให้ปิดการค้นหาสัญญาณ 4G ทันทีครับ เพราะเมื่ออยู่ในพื้นที่อับสัญญาณ ตัวเครื่องจะส่งสัญญาณแรงขึ้นเพื่อค้นหาสัญญาณ ซึ่งการที่เป็นแบบนี้ ก็ย่อมทำให้การใช้พลังงานนั้นมากขึ้นพอสมควร
สำหรับการปิดการค้นหาสัญญาณ 4G หรือ LTE มีทั้งหมดสองวิธี ดังนี้ครับ
  • กรณีใช้ AIS – เข้าไปที่ Settings > Cellular > Voice & Data (การตั้งค่า > เซลลูลาร์ > เสียงและข้อมูล)
    แล้วเลือกการค้นหาสัญญาณเป็น 2G หรือ 3G
    เพื่อให้ตัวเครื่องจับสัญญาณ EDGE บนเครือข่าย 2G หรือจับสัญญาณ 3G แทน
  • กรณีใช้เครือข่ายอื่นที่ไม่ใช่ AIS เช่น dtac หรือ TrueMove H – เข้าไปที่ Settings > Cellular (การตั้งค่า > เซลลูลาร์)
    แล้วปิด Enable 4G เพื่อปิดสัญญาณ 4G (กรณีนี้จะปิดเฉพาะสัญญาณ 4G เท่านั้น สัญญาณ 3G ยังคงค้นหาตามปกติ)
แต่หากอยู่ในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 4G ครอบคลุม ก็ไม่ต้องปิด 4G นะครับ


6.) ปรับหน้าจอไม่ให้สว่างไป และเปิดโหมดปรับแสงหน้าจออัตโนมัติ

IMG_1154
สิ่งหนึ่งที่กินไฟมากสุดในสมาร์ทโฟนปัจจุบัน คือหน้าจอนั่นเอง บางครั้ง หน้าจอ iPhone ก็สว่างเกินความจำเป็นในเวลากลางวัน ทำให้เครื่องใช้แบตเตอรี่เปลืองโดยเปล่าประโยชน์
ดังนั้น ให้เราเข้าไปปรับความสว่างของหน้าจอตัวเองที่ Settings > Display & Brightness (การตั้งค่า > จอแสดงผลและความสว่าง) และเลื่อนแถบ Brightness ลงมาตามความเหมาะสม ให้อยู่ในระดับที่มองเห็น และกดเปิด Auto-Brightness (ปรับความสว่างอัตโนมัติ) เอาไว้ด้วยเพื่อเปิดใช้งานโหมดปรับแสงหน้าจออัตโนมัติ
หลังจากนี้ถ้าพบว่าหน้าจอยังสว่างไป เราสามารถปรับแสงหน้าจอได้ด้วยตัวเอง ด้วยการลากแผง Control Center ขึ้นมาจากขอบล่างของหน้าจอ แล้วเลื่อนปรับแสงตามความต้องการได้


7.) ปิด Background App Refresh ของแอปที่ไม่ได้ใช้บ่อย

 
 ปัจจุบัน แอปพลิเคชันสมัยใหม่ มักจะมีการขอใช้ Background App Refresh เพื่อแอบดึงข้อมูลใหม่ๆ อยู่บ่อยครั้ง การปิดการใช้งานจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยประหยัดแบตได้พอสมควร แต่หากปิดหมดก็ทำให้เราใช้ iPhone ได้ไม่คุ้มไปเสียอย่างนั้น 
จากที่ทีมงานลองใช้งานมา พบว่า แอปที่กินแบตมากที่สุดในกรณีนี้ คือ “Facebook และ Twitter” ครับ
ถ้าเปิด Background App Refresh ของสองแอปนี้ไว้ ผลคือ เวลาเรากดเข้าไปดู Feed หรือ Timeline แอปจะแอบโหลดข้อความใหม่ๆ โพสต์ใหม่ๆ มาให้เราก่อนล่วงหน้าแล้วตอนที่เน็ตเราดี ทำให้ไม่เสียเวลาโหลด แต่ก็แอบใช้แบตเตอรี่เครื่องอย่างมหันต์ทีเดียว หากปิด Background App Refresh ไป เวลาเราเข้า Facebook หรือ Twitter ก็ต้องรอโหลดข้อความใหม่สักครู่ ถึงจะรอหน่อย แต่เครื่องเราจะประหยัตแบตเตอรี่ได้มากโขครับ
ดังนั้น ถ้ารู้สึกว่าแบตลดไวมาก แนะนำให้ปิด Background App Refresh ของสองแอปนี้ รวมถึงแอปที่ไม่ได้ใช้บ่อยไปเลยครับ
วิธีปิด ให้เข้าไปที่ Settings > General > Background App Refresh (การตั้งค่า > ทั่วไป > ดึงข้อมูลใหม่ให้แอปอยู่เบื้องหลัง) และเลื่อนปิดเป็นรายแอปไปครับ


8.) เปิด Notification เท่าที่จำเป็น

IMG_1156 IMG_1157
การรับ Notification จากระบบแต่ละครั้งก็เช่นกัน ปัจจุบันแอปพลิเคชันต่างๆ มีการยิง Notification ค่อนข้างถี่ และบ่อยครั้ง การเลือกเปิด Notification เท่าที่จำเป็น ก็จะช่วยให้ประหยัดแบตได้ในระดับหนึ่ง โดยให้เข้าไปที่ Settings > Notifications (การตั้งค่า > การแจ้ง) และเลือกปิด Notification ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานออกไป


9.) ปรับลดความถี่ในการเช็คอีเมลใหม่ๆ ให้น้อยลง

IMG_1158
หลักการทำงานของแอปอีเมลสมัยใหม่นั้น เครื่องจะแอบถามเซิร์ฟเวอร์อีเมลของเราอยู่เรื่อยๆ ว่ามีอีเมลใหม่มาหรือยัง ดังนั้น การปรับให้เครื่องขอข้อมูลได้ช้าลงนั้น ก็จะช่วยให้แบตเตอรี่มีอายุที่ยาวขึ้น โดยให้เข้าไปที่ Settings > Mail, Contacts, Calendars > Fetch New Data (การตั้งค่า > เมล รายชื่อ ปฏิทิน > ดึงข้อมูลใหม่) และปรับลดการใช้งานเท่าที่จำเป็น
สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่ต้องรีบติดต่ออะไรมาก ปรับไว้ที่ “Hourly” (ทุกชั่วโมง) ก็เพียงพอแล้วครับ เครื่องก็จะแอบเช็คเมลใหม่ให้เราทุกชั่วโมง แทนที่จะเป็นทุก 15 นาทีแทน หรือหากไม่ค่อยได้ใช้อะไร และรอคนมาบอกให้ไปดูอีเมลอยู่เป็นประจำ จะปรับเป็น Manually (กำหนดเอง/เข้าไปดูเอง) ก็ได้
ในจุดนี้ หากมีคนส่งอีเมลด่วนมาให้ และบอกเราว่าให้เข้าไปเช็คเมล เมื่อเราเปิดแอปเมลขึ้นมา เมลจะโหลดเองอัตโนมัติเหมือนเดิมครับ ไม่มีผลกระทบใดๆ สบายใจได้ว่าจะไม่พลาดการติดต่อ


10.) ปรับลดการใช้ Location Service ในแอปที่ไม่ได้ใช้งานตลอด

  
Location Service หรือบริการสืบหาตำแหน่งที่ตั้งผ่าน GPS ของ iPhone นั้น ช่วยให้เราใช้งานแอปได้หลากหลายมากในปัจจุบัน แต่หารู้ไหมว่า หลายแอปนั้นแอบใช้ GPS อยู่เบื้องหลังตลอดเวลาจนเปลืองแบตเตอรี่โดยใช่เหตุ อาทิ
  • แอปเช็คอินและหาสถานที่ อย่าง Swarm, Foursquare ฯลฯ
  • แอปสภาพอากาศ อย่าง Yahoo Weather ฯลฯ
เราจึงแนะนำให้ปรับการใช้งาน Location Service ของแอปเหล่านี้ใหม่ โดยไปที่ Settings > Privacy > Location Services(การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัว > บริการหาที่ตั้ง) และเลือกเป็น “While Using the App” (ในขณะใช้แอป)
และสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการโชว์สถานที่ว่าเราอยู่ที่ใด เวลาใช้ Social Network ก็ให้ปิดการใช้งาน Location Service ของ Facebook, Twitter, LINE และอื่นๆ ฯลฯ ได้ตามอัธยาศัยครับ
แอปที่ไม่แนะนำให้ปิด Location Service (ให้เปิดไว้ตลอด) คือ แอปกล้อง ทั้งหลายแหล่ครับ เพราะจะมีการบันทึกข้อมูล GPS ไว้ตลอดว่ารูปภาพเหล่านี้ถ่ายที่ไหน เวลากดดูรูปในอัลบั้ม จะดูสวยงามและเป็นหมวดหมู่กว่านั่นเอง

หลังจากปรับทั้งหมดแล้ว แนะนำให้ลองใช้งานดูสักพักหนึ่ง รับรองครับว่าเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงแบบไม่คาดคิดของ iPhone ของเรากันแน่นอนครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก :macstroke
วิธีการอัพเดท OS X El Capitan 10.11.1 บน Mac ทุกเครื่อง

วิธีการอัพเดท OS X El Capitan 10.11.1 บน Mac ทุกเครื่อง

BoOnreAm 08:23 Add Comment

วิธีการอัพเดท OS X El Capitan 10.11.1 บน Mac ทุกเครื่อง

สำหรับชาว Mac แล้ว OS X คือหัวใจสำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ เป็นที่โปรดปรานสำหรับทุกคนที่ใช้มาอย่างยาวนาน และทุกครั้งที่ Apple ส่ง OS X รุ่นล่าสุดออกมา การอัพเดต OS X ในเครื่อง Mac ของเราเดี๋ยวนี้ก็ง่ายขึ้นกว่ายุคก่อนมาก (ใครที่ใช้ Mac ก่อนยุค OS X Lion ขึ้นไปจะนึกออกแน่นอน) ทีมงานจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้สรุปถึง OS X รุ่นล่าสุดในแต่ละรอบ พร้อมแนะนำการอัพเดตอย่างง่ายให้อ่านกันดังนี้

Macbook-Pro-Family-2013-Press-Image-Largeเครื่อง Mac ที่รองรับ OS X El Capitan 

Apple แจ้งว่า Mac ที่เปิดตัวตั้งแต่ช่วงปี 2007-2009 บางรุ่น สามารถอัพเดทได้ ในขณะที่รุ่นที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นไป จะรองรับการอัพเดท OS X El Capitan ทั้งหมด 
OS X_Elcapitan

มีอะไรใหม่ใน OS X El Capitan (10.11)

Split View : แบ่งจอใช้งาน App ได้แบบสัดส่วนเท่ากันในจอเดียว
Mission Control : แบ่งมุมมองหน้าจอแต่ละ App ให้เป็นระเบียบมากขึ้น สร้างหน้า Desktop ด้วยการลากหน้าจอ App ที่ต้องการใช้สร้างหน้าต่างใหม่ และเขย่าเคอร์เซอร์เพื่อหาว่าอยู่ที่ไหนของจอได้
Spotlight : รองรับการค้นหาข้อมูลสภาพอากาศ ผลการแข่งขันกีฬา เว็บ ข้อมูลการเดินทางสาธารณะ รองรับการค้นหาข้อมูลในเครื่องในรูปแบบประโยคที่ต้องการ
Mail : ค้นหาจดหมายได้รวดเร็วขึ้น รองรับการ Swipe เพื่อจัดการกล่องจดหมายผ่าน Trackpad แบบเดียวกับที่ใช้ใน iOS
Note : รองรับการทำหัวข้อ วาดเส้น ใส่รูป ทำรายการ
Photos : จัดการภาพในรายการทั้งหมดได้ง่ายขึ้น พร้อมเครื่องมือแต่งรูปอย่างง่ายที่ใช้ง่ายขึ้น รองรับการแสดงข้อมูลสถานที่ของภาพถ่าย และช่วยจัดเรียงรูปที่เป็นเรื่องราวเดียวกันได้ตรงมากขึ้น
Maps : รองรับข้อมูลระบบขนส่งมวลชน สร้างแผนการเดินทางได้ และค้นหาสิ่งที่ต้องการจากในแผนที่ แล้วส่งไปที่ iPhone หรือ iPad ของเราได้
Font​ : ฟอนท์ของระบบแบบ San Francisco แบบเดียวกับใน iOS 9
Metal : การแสดงผลกราฟฟิคทำได้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะใช้ทำงานหรือเล่นเกม
Performance : สลับ App ได้เร็วขึ้น รวมถึงการเข้า email หรือ PDFs ก็ทำได้เร็วขึ้น

มีอะไรใหม่ใน OS X El Capitan (10.11.1)

  • ปรับปรุงการอัพเดทมาใช้ OS X El Capitan ให้เสถียรขึ้น 
  • ใช้งานกับ Microsoft Office 2016 ดีขึ้น 
  • แก้ปัญหาส่งเมลจาก Mail ไม่ได้ เนื่องจากหา Outgoing Server ไม่เจอ 
  • แก้ปัญหา Mail กับ Messages ไม่แสดงผลเมื่อเปิดใช้งาน 
  • เพิ่มความเสถียร VoiceOver 
  • เพิ่ม Emoji อีก 150 แบบ และรองรับ Unicode 7.0 กับ 8.0 

อัพเดทง่ายๆ จาก Mac App Store ของเครื่อง Mac เรา

OS_X_Upates_11. ตรวจสอบการอัพเดท OS X ได้ที่ คลิ๊กที่ไอคอน Apple เลือกที่ App Store
OS_X_Updates_22. ตรวจสอบการอัพเดทจากหัวข้อ Updates หรือหากต้องการโหลดเพื่อติดตั้งครั้งแรก ให้ค้นชื่อ OS X El Capitan ได้ทันที
OS_X_Updates_33. คลิ๊กที่ Download แล้วรอสักครู่ (ขนาดไฟล์ติดตั้งประมาณ 6GB)
OS_X_Updates_44. เมื่อ Download สำเร็จแล้ว หน้าจอติดตั้งจะแสดงขึ้น คลิ๊กที่ Continue
OS_X_Updates_55. หน้าจอเงื่อนไขการใช้งานต่างๆ จะแสดงขึ้นมา คลิ๊กที่ Agree (หน้าต่างยืนยันการยอมรับเงื่อนไขจะแสดงขึ้นต่อมา คลิ๊กที่ Agree)
OS_X_Updates_66. เลือกติดตั้งใน Disk หลักของเครื่อง แล้วคลิ๊ก Install (หลักจาก Install แล้ว หากเครื่องมีการตั้งค่าให้ใส่รหัสประจำเครื่องก่อนยืนยันติดตั้ง ให้ใส่รหัสยืนยันหนึ่งครั้ง)
OS_X_Updates_77. ระบบจะเริ่มเตรียมติดตั้ง OS X ลงไปในเครื่อง
OS_X_Updates_88. เมื่อเตรียมติดตั้งเสร็จ คลิ๊กที่ Restart หนึ่งรอบ หลังจากนั้น การติดตั้งจริงจะเริ่มขึ้น ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 45 นาที