วิธีติดตั้ง iOS 13 เวอร์ชั่นเต็ม

วิธีติดตั้ง iOS 13 เวอร์ชั่นเต็ม

BoOnreAm 14:23 Add Comment
แอปเปิลปล่อย iOS 13 เวอร์ชั่นเต็มออมาให้ผู้ใช้งาน iPhone, iPod ได้ติดตั้งแล้ว ซึ่งการติดตั้งหลักๆ แล้วสามารถทำได้ 2 วิธี คือผ่านตัวเครื่อง iPhone, iPod โดยอัปเดทผ่าน OTA และ บนคอมพิวเตอร์ติดตั้งด้วยโปรแกรม iTunes ซึ่งทั้ง 2 วิธีสามารถติดตั้งได้เหมือนกันแต่ต่างวิธีกันเท่านั้นเองครับ

1.สำหรับคนที่ติดตั้ง iOS 13 GM ไปแล้วก่อนหน้านี้ ปกติแล้ว iOS 13 เวอร์ชั่นเต็มที่จะปล่อยวันที่ 20 ก.ย. จะเป็นเวอร์ชั่นเดียวกัน ดังนั้นก็จะไม่ต้องติดตั้งซ้ำแล้ว (หรือถ้าต้องการติดตั้งใหม่อีกครั้งจะต้อง Restore ด้วย iOS 13 ไฟล์ ipsw กับโปรแกรม iTunes ดาวน์โหลด iOS 13
iOS 13 เวอร์ชั่นเต็ม build 17A577 เป็นตัวเดียวกันกับ GM 
2.สำหรับคนที่ยังไม่เคยติดตั้ง iOS 13 มาก่อน สามารถติดตั้งได้ 2 วิธี
ผ่านตัวเครื่อง (OTA) สามารถเข้าไปติดตั้งได้ที่ Settings > General > Software Update เชื่อมต่อ Wi-Fi ดาวน์โหลดและติดตั้ง ติดตั้งด้วยวิธีนี้ไม่มีข้อมูลใดๆ หาย แต่เพื่อความปลอดภัยให้สำรองข้อมูลก่อนติดตั้งทุกครับ (วิธีสำรองข้อมูล)
  • ผ่าน iTunes ต้องดาวน์โหลดไฟล์ ipsw และทำการ Restore บนโปรแกรม iTunes
  • วิธี Restore เชื่อมต่ออุปกรณ์ iPhone, iPad, iPod เข้าคอมพิวเตอร์ ด้วยสาย USB เปิดโปรแกรม iTunes กด Shift ที่คีย์บอร์ดค้างไว้ (สำหรับ Windows) และ (option สำหรับ Mac) และให้คลิกที่ปุ่ม Restore iPhone เลือกไฟล์ iOS 13 ipsw เพื่อติดตั้ง จากนั้นทำตามขั้นตอน
     หากติดตั้งผ่าน iTunes ด้วยการดาวน์โหลดผ่านโปรแกรม iTunes และติดตั้งอัตโนมัติบน iTunes วิธีนี้ปกติแล้ววันที่ปล่อย iOS 13 วันแรก จะใช้เวลาโหลดค่อนข้างนาน หรือติดตั้งไม่ผ่าน ถ้าใช้วิธี Restore จะเร็วกว่า
    หมายเหตุ ก่อนการติดตั้ง iOS 13 ทุกวิธีที ควรแบ็คอัพข้อมูลผ่าน iCloud, iTunes ก่อนติดตั้งเผื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นนะครับ
  • ที่มา : iphone-droid.net
การแชร์ไฟล์ใน Windowns 10

การแชร์ไฟล์ใน Windowns 10

BoOnreAm 11:28 Add Comment
แม้ในยุคนี้จะมีการแชร์ไฟล์ข้อมูลผ่านบริการ Cloud Drive หลายบริษัทชื่อดังมีการแข่งขันกันบริการนี้กันสูงมากอย่าง Google Drive ของกูเกิลหรือ One drive ของไมโครซอฟ ก็บริการทีดีและสะดวกสบาย แต่การแชร์ไฟล์แบบ Local ก็ยังคงจำเป็นอยู่วันนี้ admin จะมาสอนวิธีการแชร์ไฟล์และโฟลเดอร์บน Windows 10 แบบง่ายๆกันค่ะ

ขั้นตอนการแชร์ไฟล์ใน Windowns 10

ขั้นตอนที่ 1

  • ให้กำหนด network เครื่องที่ต้องการแชร์ให้สามารถมองเห็นกันได้ก่อน โดยไปที่ Control Panel > Network and Internet > Network and Sharing Center เมื่อคลิกเลือกแล้วจะแสดงหน้าต่างใหม่ตามภาพ
  • จากนั้นคลิกเลือก Change advanced sharing settings ที่อยู่ซ้ายมือ
network and sharing center setting

ขั้นตอนที่ 2

  • Private current profile ให้ทำการตั้งค่าตามรูปภาพ หาก Windows 10 v.1803 จะไม่มีในส่วน Home Group ไม่จำเป็นต้องติ๊ก
  • ส่วนของ All Networks ให้ตั้งค่าที่หัวข้อ Password protected sharing ให้ตั้งค่าตามรูปด้านล่าง
turn on password protected sharing คือการกำหนดรหัสผ่านในการเข้าไฟล์ที่ต้องการจะแชร์โดยระบบจะเด้งให้กรอกทุกครั้ง
turn off password protected sharing คือไฟล์ต้องการแชร์สามารถเข้าถึงได้เลยไม่ต้องกรอกรหัสผ่านใครก็สามารถเข้าถึงได้

ขั้นตอนที่ 3

  • เลือก หรือ สร้างโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแชร์
  • คลิกขวาเลือก Give access to > specific people ตามภาพ
  • ทำการเพิ่มชื่อ User ที่เราได้ทำการสร้างไว้ (วิธีสร้าง User account) หรือ User ที่เราต้องเอาไว้กรอกสำหรับที่จะให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆเข้ามาใช้งาน
  • กด Add จากนั้นทำการปรับให้เป็น Read / Write
  • ทำการคลิกปุ่ม Share ตามภาพด้านล่าง
  • จากนั้นก็จะได้ Folder ที่ต้องการแชร์ไฟล์ใน Windows 10 โดยข้อมูลจะเป็น Path ดังนี้ “\\ชื่อเครื่องคอมที่เปิดแชร์\ชื่อโฟลเดอร์ที่แชร์” จากตัวอย่างคือ “\\DESKTOP-HOME\Project”
  • กดปุ่ม Done เพื่อยืนยัน

ขั้นตอนที่ 4

  • เมื่อการเข้าถึงโฟลเดอร์ที่แชร์ ให้ไปที่ Path ที่เราได้ทำการแชร์ จากตัวอย่างคือ “\\DESKTOP-HOME\Project”
  • หรือไปที่ This PC > network
  • จะแสดงส่วนต่างที่เชื่อมต่อในวงแลนเดียวกัน
  • คลิกเครื่องที่ต้องการแชร์
  • เลือกโฟลเดอร์ที่การจะเข้าเมื่อคลิกเข้าไปก็จะเจองานที่เราแชร์ไว้ หรือต้องการทางลัดว่านี้ให้ทำการ Map drive ไว้
ที่มา : itdigitserve
เผยอันดับ Emoji เฟสบุ๊คที่คนใช้มากที่สุดในโลก

เผยอันดับ Emoji เฟสบุ๊คที่คนใช้มากที่สุดในโลก

BoOnreAm 11:20 Add Comment
ในวันที่ 17 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น “วันอิโมจิโลก” (World Emoji Day) Facebook เผยสถิติอิโมจิ ใช้ผ่าน Facebook และ Messenger ใน 1 วัน พร้อมเผย Emoji ยอดฮิตในแต่ละประเทศ โดยมีรายละเอียดดังนี้ Emoji บน Facebook มีการใช้งาน เฉลี่ย 60 ล้านอีโมจิ ต่อวันส่วน Messenger มีการใช้งาน Emoji เฉลี่ย 5 ล้านอีโมจิภายใน 1 วันและ Emoji ที่ถูกใช้มากที่สุดทั่วโลกคือรูปสีหน้าร้องไห้ สำหรับประเทศไทยนิยมใช้ Emoji รูปยิ้มมากที่สุด
ที่มา : itdigitserve , Facebook
เหตุลที่ไม่ควรใช้แอปฯ LINE สำหรับคุยงานในองค์กร สารพัดข้อเสียจากการใช้ LINE คุยงานที่ไม่ควรมองข้าม

เหตุลที่ไม่ควรใช้แอปฯ LINE สำหรับคุยงานในองค์กร สารพัดข้อเสียจากการใช้ LINE คุยงานที่ไม่ควรมองข้าม

BoOnreAm 11:03 Add Comment
เหตุลที่ไม่ควรใช้แอปฯ LINE สำหรับคุยงานในองค์กร สารพัดข้อเสียจากการใช้ LINE คุยงานที่ไม่ควรมองข้าม


ใช้ line คุยงาน
          เนื่องจากว่า LINE นั้นเป็นแอปฯ แชตที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุดในตอนนี้ ทำให้หลายองค์กรเลือกใช้เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารหลักในการทำงาน เพราะว่ามันสะดวก ใช้งานง่าย เพราะใคร ๆ ก็ใช้เป็นกันอยู่แล้ว แต่มักมองข้ามข้อเสียหลาย ๆ ประการที่ LINE อาจไม่เหมาะสำหรับใช้ในการติดต่อคุยงาน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลายองค์กรโดยเฉพาะองค์กรใหญ่ ๆ เลือกใช้แอปฯ แชตอื่น ๆ สำหรับคุยงานแทน เพราะอะไรมาดูเหตุผลกัน

1. ข้อความแชตไม่ถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์

          ข้อเสียอันใหญ่หลวงของ LINE ที่ไม่พบในแอปฯ อื่น ๆ ก็คือข้อความแชตรวมทั้งรูปภาพและไฟล์ต่าง ๆ ที่ส่งกันในห้องแชตจะไม่ถูกเก็บไว้บนเซิร์ฟเวอร์ของ LINE แต่ถูกเก็บไว้ในเครื่องของผู้ใช้เอง ทำให้เวลาย้ายเครื่องแล้วข้อความเก่า ๆ จะหายหมด จะ Back-up เองก็ยุ่งยากและมักจะลืมกัน หรือต่อให้ไม่ย้ายเครื่องก็อาจต้องคอยลบข้อความเก่า ๆ ทิ้งอยู่ดี เพราะมันหนักเครื่องมาก นอกจากนี้พวกรูปภาพต่าง ๆ ที่ส่งในห้องแชตก็มักจะดูย้อนหลังได้ไม่นาน เมื่อเวลาผ่านไปสัก 1-2 สัปดาห์รูปเหล่านั้นก็จะไม่สามารถเปิดดูได้แล้ว

          เมื่อข้อความเก่า ๆ หาย ก็มักจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ไม่สามารถดูรายละเอียดงานย้อนหลังได้ หรือเวลามีปัญหาเรื่องงานก็ไม่สามารถย้อนไปขุดหลักฐานขึ้นมาโต้แย้งกันได้ และอาจมีปัญหาอื่น ๆ อักมากมายที่คุณอาจจะต้องพบเจอ

2. แยกการแจ้งเตือนลำบาก

          เมื่อใช้ LINE บัญชีเดียวกันคุยทั้งงานทั้งเรื่องส่วนตัว เวลามีแจ้งเตือนมันก็จะปะปนกัน แจ้งเตือนข้อความใหม่ ๆ บางทีก็จะทับข้อความเก่า ทำให้บางครั้งอาจมีข้อความที่ไม่ได้อ่านตกหล่น และเกิดปัญหาที่หลายคนมักถูกต่อว่า "ทำไมไม่อ่านไลน์" "ทำไมไม่ตอบไลน์" ซึ่งในกรณีที่ต้องการใช้ LINE เพื่อคุยงานจริง ๆ ถ้าหากมีเรื่องเร่งด่วนควรใช้วิธีโทร. หากันเลยน่าจะดีกว่า

ใช้ line คุยงาน

3. รุกล้ำความเป็นส่วนตัว

          อีกหนึ่งปัญหาที่น่าลำบากใจของพนักงานออฟฟิศที่ต้องใช้ LINE ส่วนตัวเพื่อติดต่อคุยงานกับคนในองค์กร เพราะในบางครั้งอาจถูกทักแชตมาคุยเรื่องงานในเวลาส่วนตัวหรือนอกเวลางาน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร นอกจากนี้บางองค์กรอาจบังคับให้พนักงานตั้งชื่อและรูปโปรไฟล์เป็นชื่อจริงหรือรูปตัวจริง ซึ่งพนักงานหลายคนก็อาจไม่สะดวกใจ เพราะบัญชี LINE ส่วนตัวก็อยากตั้งชื่อและใช้รูปตามใจตัวเองมากกว่า หรือถ้าจะแยกบัญชีไลน์ไปเลยก็กลายเป็นว่าต้องพกมือถือสองเครื่อง เพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีก

4. ความเสี่ยงในการส่งผิดห้อง

          การใช้แชตคุยงานกันในองค์กรนั้นอาจมีการตั้งห้องแชตเอาไว้หลายห้อง บวกกับคุยแชตส่วนตัวอีกก็หลายห้อง ยิ่งมีห้องแชตมากก็จะยิ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งข้อความผิดห้องมากขึ้น ถึงแม้จะระวังแล้วก็ตาม แต่คนเรามักพลาดกันได้เสมอ ซึ่งการส่งแชตผิดห้องนั้นไม่เป็นผลดีแน่ เพราะมันอาจทำให้ข้อมูลลับภายในองค์กรหลุดออกไปสู่บุคคลภายนอกได้ หรือถ้าเผลอส่งข้อความคุยเล่นกับเพื่อนไปในห้องแชตคุยงานก็คงจะดูไม่ดีเช่นกัน

          ถึงแม้ว่าเหตุผลแต่ละข้ออาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร โดยเฉพาะกับองค์กรเล็ก ๆ แต่เมื่อเอาหลาย ๆ เหตุผลมารวมกันแล้ว บวกกับการที่มีแอปฯ แชตอื่น ๆ ที่เหมาะสมกว่าให้เลือกใช้อีกมากมาย เช่น Skype, Slack, Telegram ฯลฯ ซึ่งถือว่าดีกว่าการใช้ LINE คุยงานอย่างแน่นอน แถมแอปฯ เหล่านี้ก็สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ไม่ยาก ส่วนวิธีการใช้งานก็ไม่ค่อยต่างจากแอปฯ แชตที่คุ้นเคยกันมากนัก

ที่มา : kapook.com